พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ "ความรู้"

“...ความรู้นั้นสำคัญยิ่งใหญ่ เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดความฉลาดสามารถ และความเจริญก้าวหน้า มนุษย์จึงใฝ่ศึกษากันอย่างไม่รู้จบสิ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว การเรียนความรู้ แม้มากมายเพียงใด บางทีก็ไม่ช่วยให้ฉลาดหรือเจริญได้เท่าไรนัก ถ้าหากเรียนไม่ถูกถ้วน ไม่รู้จริงแท้ การศึกษาหาความรู้จึงสำคัญตรงที่ว่า ต้องศึกษาเพื่อให้เกิด “ความฉลาดรู้” คือรู้แล้ว สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ โดยไม่เป็นพิษเป็นโทษ การศึกษาเพื่อความฉลาดรู้ มีข้อปฏิบัติที่น่าจะยึดถือเป็นหลักอย่างน้อยสองประการ ประการแรก เมื่อจะศึกษาสิ่งใดเรื่องใดให้รู้จริง ควรจะได้ศึกษาให้ตลอดครบถ้วนทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เรียนรู้แต่เพียงบางส่วนบางตอน หรือเพ่งเล็งเฉพาะแต่เพียงบางแง่บางมุม อีกประการหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติประกอบพร้อมกันไปด้วยเสมอคือต้องพิจารณาศึกษาเรื่องนั้นๆ ด้วยความคิดจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นปรกติ และเที่ยงตรง เป็นกลาง ไม่ยอมให้ความรู้เห็นและเข้าใจตามอำนาจความเหนี่ยวนำของอคติ ไม่ว่าจะเป็นอคติฝ่ายชอบหรือฝ่ายชัง มิฉะนั้นความรู้ที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นความรู้แท้ หากแต่เป็นความรู้ที่ถูกอำพรางไว้ หรือที่คลาดเคลื่อนวิปริตไปต่างๆ จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ โดยปราศจากโทษไม่ได้...”

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรโรฒ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๔

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

มารยาทและเทคนิคในการโทรศัพท์ไปหาผู้อื่น 1

มารยาทและเทคนิคในการโทรศัพท์ไปหาผู้อื่น
1. คิดคำนึงถึงเวลาที่ควรจะโทร
ก่อนจะโทรศัพท์ไปถึงใคร ควรพิจารณาความสะดวกในเรื่องของเวลาที่ผู้รับโทรศัพท์พร้อมที่จะพูดด้วย
-พยายามหลีกเลี่ยง
(1) ก่อนเริ่มงาน
(2) เวลาพักเที่ยง
(3) ตอนกลางคืน (เวลานอน)
นอกจากนี้แม้เป็นเวลาทำงาน แต่ถ้าเราไม่มีธุระเร่งด่วนอะไร ก็ควรหลีกเลี่ยงโทรไปในช่วงเวลาที่ผู้อื่นอาจจะมีงานยุ่งซึ่งปกติในการทำงานจะยุ่งมากในช่วง 9-10 โมงเช้า แลละตอนบ่ายโมง-บ่าย 2 และตอนก่อนจะเลิกงาน
ส่วนวันที่ยุ่งก็น่าจะเป็นวันจันทร์ และวันศุกร์ (แล้วแต่บริษัท)

2. ลำดับธุระหรือข้อความให้เรียบร้อย
-ให้แน่ใจว่าหมายเลขที่จะโทรไปนั้นถูกต้อง ไม่ใช่เบอร์เก่า หรือเป็นเบอร์ก่อนย้ายตำแหน่งหรือย้ายบริษัทไปแล้ว
-ถ้าต้องมีการอ้างอิงเอกสาร หรือต้องจดข้อมูลอะไรระหว่างสนทนา ก็เตรียมดินสอปากกา และกระดาษให้พร้อม การต้องให้ผู้รับโทรศัพท์มาคอยเราหากระดาษ ดินสอนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้
-ลำดับเนื้อเรื่อง หรือสาระที่จะพูดให้เรียบร้อย จะต้องพร้อมที่จะถามและตอบคำถามของผู้รับโทรศัพท์ด้วย หรือไม่ให้เสียเวลาทั้งสองฝ่าย


3 ไม่กดหรือหมุนเบอร์ผิด
-เป็นเรื่องที่แย่มาก ที่โทรศัพท์แล้วหมุนผิดเบอร์ เพราะทำให้เสียเวลา เสียค่าโทรศัพท์ และบรรยากาศในการทำงาน
-ดังนั้น เวลาหมุนเบอร์โทรศัพท์ตาต้องดูให้ดี ยิ่งสมัยนี้โทรศัพท์แบบกดปุ่มมีมากขึ้น ทำให้กดได้เร็ว การกดเบอร์ผิดก่อนจะกดเบอร์ให้ครบ ก็เป็นเรื่องเสียเวลาเช่นกัน (แทนที่จะเร็วกลับช้า)

4. กล่าว “สวัสดี” และยืนยันชื่อผู้ที่จะพูดด้วย
เมื่อมีผู้รับสาย ยืนยันให้แน่ใจว่า เป็นที่ที่เราต้องการจะโทรไป แล้วแจ้งชื่อ/หน่วยงานของเราให้ผู้รับโทรศัพท์ทราบ โดยไม่ลืมคำกล่าวทักทายเริ่มต้นด้วยคำว่า “สวัสดีครับ/ค่ะ” (แค่นี้ก็พอแล้ว)

5. กล่าว “สวัสดี” ผู้ที่ต้องการจะพูดด้วย
ถ้าผู้ที่เราต้องการจะพูดด้วยมารับสาย เราควรจะกล่าวคำทักทาย “สวัสดีครับ/ค่ะ” อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับแจ้งชื่อ/หน่วยงานของเราให้ทราบ
ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ไม่เร่งรีบ และรู้สึกว่าทั้ง ๒ ฝ่าย (คือผู้โทร และผู้รับโทรศัพท์) พอมีเวลาพูดก็อาจจะทักทายกับในเรื่องทั่วๆ ไปก่อนได้ เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศในการสนทนาให้เป็นกันเองมากยิ่งขึ้น เมื่อพูดถึงธุรกิจจะได้ตกลงกันได้ดีขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาพูดอ้อมค้อมเพราะเกรงใจกันจนเกินไป

6. แจ้งเหตุผลที่โทรมาให้สั้นและชัดเจน
ระบุ “เรื่องที่ต้องการจะโทรมาติดต่อ” ให้สั้นและชัดเจน โดยไม่เยิ่นเย้อเสียเวลา ตามปกติไม่ควรใช้เวลาในข้อนี้เกิน 30 นาที แต่ควรให้ได้ประมาณ 15-30 วินาที ถ้ายาวกว่านี้ควรจะเขียนหรือส่งข้อความผ่าน Fax ให้ผู้รับโทรศัพท์ได้อ่านก่อนที่จะคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว
สมัยนี้มี Fax แล้วควรจะใช้ Fax ให้เป็นประโยชน์ เพราะเวลาส่ง Fax จะเสียเวลาไม่ถึง 10 วินาที แต่ถ้าไม่ส่ง Fax ไปก่อนแล้วอ่านให้ฟังทางโทรศัพท์ จะเสียเวลาและทำให้การสื่อสารข้อความไม่สมบูรณ์ เข้าใจยาก หรืออาจทำให้ผู้ฟังหงุดหงิดได้

7. ถ้าจะพูดนาน ควรถามก่อนว่าพูดได้หรือไม่
บางครั้ง เรื่องที่จะพูดทางโทรศัพท์มีแนวโน้มว่าจะกินเวลานาน ผู้ที่โทรไปควรจะถามผู้รับโทรศัพท์ว่า “ติดธุระอะไรหรือไม่” หรือ “มีเวลาพูดหรือไม่” ถ้าถามแล้วไม่มีปัญหาก็พูดต่อไปได้ แต่ก็ไม่ควรเกิน 5 นาที ถ้าเกิน 5 นาทีแสดงว่าเกินมาตรฐาน หรือขาดการวางแผนการใช้โทรศัพท์ที่ดีพอ

8. โทรไปแล้วไม่อยู่ ควรฝากข้อความหรือแจ้งว่าจะโทรกลับ
ในกรณีของผู้ที่เราต้องการจะพูดด้วยไม่อยู่ ไม่ควรจะปล่อยโอกาสให้เสียไปโดยวางสายไปเฉยๆ โดยไม่ได้ทิ้งข้อความอะไรไว้เพราะ
(1) คนที่เราจะพูดด้วย เมื่อทราบว่ามีคนโทรมา แต่ไม่ทราบว่าใคร ก็คงจะนั่งนึกเดาไปต่างๆ นานา ถือเป็นการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ทางอ้อมอย่างหนึ่ง
(2) คุณจะเป็นกังวลที่ต้องโทรใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ติด หรือโทรไปแล้วคนที่เราจะพูดนั้นไม่อยู่อีก เลยไม่ได้พูดสักที
ดังนั้น โดยมารยาท ถ้าคนที่เราจะพูดด้วย “ไม่อยู่” ควรจะ
-ฝากข้อความไว้ว่า คุณคือใคร โทรมาจากไหน มีธุระอะไร และ/หรือ
-จะให้เขาโทรกลับมา หรือจะโทรมาหาเขาใหม่ เมื่อไหร่ควรจะระบุให้ครบและชัดเจน
(เวลาจะขอให้ใครจดข้อความให้ก็ควรจะพูดให้ไพเราะหน่อย เพราะยิ่งคุณพูดไพเราะเท่าไหร่ ข้อความก็จะมีความละเอียดถูกต้อง และมีโอกาสถึงมือผู้ที่เราต้องการจะพูดด้วยมากยิ่งขึ้นเท่านั้น)

9. พูดจบการสนทนา
ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ ควรพูดกล่าวคำขอบคุณและสวัสดี ให้ผู้ฟังทราบว่า การพูดทางโทรศัพท์ของคุณนั้นสิ้นสุดลงแล้ว
การพูดโดยฝากข้อความไว้ แต่ไม่ขอบคุณผู้บันทึกข้อความ ก็เหมือนกับว่าคุณทำตัวเป็นนาย (ที่แย่) ก็อย่างหวังว่าข้อความจะถึงมือผู้ที่เราอยากจูด้วยอย่างแน่นอน

10. ใครเป็นผู้โทรศัพท์ จะเป็นผู้วางหูโทรศัพท์ก่อน
ตามหลักปฏิบัติทั่วไปผู้ที่โทรศัพท์ไปหาผู้อื่นควรจะวางหูโทรศัพท์ก่อน
ยกเว้น ผู้ที่เราโทรไปหานั้น เป็นลูกค้าหรือผู้ใหญ่กว่า เป็นมารยาทที่จะต้องคอยให้ทางโน้นเป็นผู้วางสายก่อน
ระวัง ! อย่างวางหูโทรศัพท์กระแทกตัวเครื่อง เพราะถ้าผู้รับโทรศัพท์ยังไม่วางหูและได้ยิน จะทำให้เสียความรู้สึกอย่างมาก (ความดีทั้งหมดตั้งแต่แรก ก็แทบจะไม่เหลือเลย)

(มีต่อ)

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551

ความสำเร็จและความล้มเหลว ในการบริหารงานบุคคลในมหาวิทยาลัย

ความสำเร็จและความล้มเหลว ในการบริหารงานบุคคลในมหาวิทยาลัย

โดย ศักราช ฟ้าขาว มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

ได้สัมผัสกับการบริหารงานบุคคลในสถาบันอุดมศึกษาจากการพูดคุยกับเพื่อนต่างสถาบัน และภายในมหาวิทยาลัยที่สังกัด

ได้เห็นความสำเร็จและความล้มเหลวในการบริหารงานบุคคล ในหลายกรรมและหลายวาระเห็นคนดีใจจากการขึ้นสู่ผู้บริหารจนประสบความสำเร็จ
และเห็นเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาพูดคุยกันในเรื่องความไม่ก้าวหน้าของตนเองตามแนวทางที่ควรจะเป็น
ตามทฤษฎีความต้องการของ Maslow การบริหารบุคคลในมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างความกดดันและวิตกกังวลให้แก่บุคลากร จนกระทั่งคิดจะโอนย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น และหนีปัญหาจากโลกนี้ไปก็มี
ความสำเร็จและความล้มเหลวในการบริหารบุคคลในมหาวิทยาลัย จะมีปัจจัยสำคัญที่จะสร้างให้คนพึงพอใจและวิตกกังวลได้ ดังนี้
1.วัฒนธรรมองค์กร
2.สภามหาวิทยาลัย
3.ผู้บริหารทุกระดับในมหาวิทยาลัย
4.การสร้างข้อบังคับ ประกาศ ระเบียบ

1.วัฒนธรรมองค์กร เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จและล้มเหลวได้ สถาบันอุดมศึกษาแห่งใด มีวัฒนธรรมของความรักในหมู่และพรรคพวกของตนเองมาก คาดคะเนได้ว่าปัจจัยอื่นที่จะกล่าวถึงก็จะเป็นไปในแนวทางของหมู่และพรรคพวกของตนเองแทบทั้งสิ้น แต่หากสถาบันใดมีวัฒนธรรมองค์กร ที่มีหลักธรรมาภิบาล เป็นตัวตั้ง สถาบันแห่งนั้นจะเป็นที่ยอมรับของคนในที่แห่งนั้น คนจะอยู่ด้วยความรักและความสุขอย่างทั่วถึง เกิดความพึงพอใจ เพราะไม่กระจุกความสุขเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

2.สภามหาวิทยาลัย เป็นองค์กรหลักในสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ที่จะควบคุมดูแลจัดการในด้านวิชาการ งบประมาณและบริหารงานบุคคลของผู้บริหารในมหาวิทยาลัย
หากโครงสร้างของสภามหาวิทยาลัยประกอบไปด้วยทีมที่เกิดจากผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าข้างผู้บริหาร ผู้แทนคณาจารย์ที่เป็นผู้บริหาร สภามหาวิทยาลัยแห่งนั้นก็จะเป็นเพียงสภาตรายาง และจะรักษาประโยชน์ของผู้บริหารและกลุ่มของผู้บริหารย่อมมาก่อนคณาจารย์ และบุคลากรอื่นเสมอ
หากเป็นดังกล่าวนี้การวินิจฉัย การตีความเรื่องต่างๆ ตลอดถึงความเป็นธรรมก็จะเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง และเกิดความไม่พึงพอใจและสร้างความวิตกกังวลแก่คณาจารย์ และบุคลากรได้

3.ผู้บริหารทุกระดับในมหาวิทยาลัย เป็นแรงผลักและแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จและความล้มเหลวในเรื่องต่างๆ ได้
ผู้บริหารในมหาวิทยาลัยจะมาจากคณาจารย์ที่มีการสรรหาเลือกตั้ง โดยวิธีการที่สภามหาวิทยาลัยเห็นชอบ
ปรากฏการณ์ของคนในมหาวิทยาลัยคือ พรรคการเมืองย่อยๆ นั่นเอง จึงมีการว่ากล่าว ด่าทอ (ลับหลัง) เอาพวกหมู่ของตนเองไว้ก่อนสิ่งอื่น หากผู้บริหารกลุ่มใดมีวิธีคิดแบบนี้มาก การที่จะให้คณาจารย์ และบุคลากรสายสนับสนุนพึ่งพิง พึ่งพาจะเป็นได้ยาก การตีความที่มีข้อร้องเรียนจากคณาจารย์ ก็จะตีความไปโดยขัดกับหลักธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม เพราะจะวินิจฉัยหรือชี้นำให้สภาฯ เห็นคล้อยตามไปตามแนวทางของกลุ่มหรือพรรคพวกของตนเอง

4.การสร้างข้อบังคับ ประกาศ และระเบียบ เป็นไปโดยใช้หลักนิติธรรมมากน้อยเพียงใด
หลักนิติธรรม หมายถึง การใช้ความถูกต้องของกฎหมาย และไม่ตีความเพื่อให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มของตนเองในปัจจุบันและอนาคต หรือคาดคะเนหรือวางแนวทางให้กลุ่มผู้เขียน
ผู้ร่างขึ้นได้ประโยชน์จากการเขียนข้อบังคับ ประกาศ และระเบียบ นั้นๆ
เช่น ข้อบังคับมหาวิทยาลัย ว่าด้วย คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย พ.ศ.2547 ระบุว่า กรรมการสภาจากผู้แทนคณาจารย์ต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งบริหาร และนิยามตาม พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 16 (3) คือเขียนข้อบังคับฯ เพื่อเอื้อต่อผู้บริหารตั้งแต่รองคณบดี รองผู้อำนวยการสำนัก และหัวหน้าภาควิชา
เราจึงเห็นปรากฏการณ์ผู้บริหารเหล่านี้มาสมัครเป็นผู้แทนคณาจารย์กันทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

ถ้าถามว่าผิดข้อบังคับฯหรือไม่ ไม่ผิด เพราะผู้ร่าง ผู้เขียนข้อบังคับฯ เขียนขึ้นโดยดูกฎหมายฉบับเดียว (พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาตรา 16 (3) ไม่ได้นำกฎหมายที่ใช้คู่กัน คือ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 18 มากล่าวถึง ซึ่งกำหนดตำแหน่งผู้บริหารระบุตั้งแต่ อธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี รองคณบดี ผู้ช่วยอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนัก รองผู้อำนวยการฯ เป็นผู้บริหารทั้งหมด และไปดู พ.ร.ฎ.ว่าด้วยเงินประจำตำแหน่ง กำหนดตั้งแต่อธิการบดีลงไปถึงหัวหน้าภาควิชาเป็นผู้บริหาร แบบนี้ถือว่าใช้หลักนิติธรรมในทางกฎหมายไม่ดีพอ

ปัจจัยดังกล่าวนี้ เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เกิดความสำเร็จและความล้มเหลวในการบริหารงานบุคคลในมหาวิทยาลัยได้

ความตระหนักความสำนึกของผู้บริหารที่ถอดหัวโขนจากคณาจารย์ไปเป็นผู้บริหารที่มีความเข้าใจ และใช้หลักธรรมาภิบาลเท่านั้นจะสร้างให้คนพึงพอใจและคลายความวิตกกังวลได้ และจะสามารถขับเคลื่อนให้มหาวิทยาลัยไปในทิศทางเป็นที่ยอมรับของคนภายในมหาวิทยาลัยและมวลชนภายนอกได้

มติชน วันที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10830หน้า 5

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

อาหารกับผู้บริหาร (หญิง)

อาหารกับผู้บริหาร (หญิง)
การจัดโภชนาการพื้นฐานในผู้หญิงทำงานก็จะคล้ายกับในผู้ชายทำงาน ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ที่ต้องเพิ่มมากขึ้นก็คือธาตุเหล็ก เพราะผู้หญิงมีการสูญเสียธาตุเหล็กทุกเดือนทางรอบเดือน ยิ่งคนที่มีประจำเดือนมามากยิ่งต้องการเหล็กเสริมมากขึ้น และถ้าใส่ห่วงคุมกำเนิดยิ่งมีโอกาสสูญเสียเลือดวันละเล็กวันละน้อยได้มากกว่าปกติ ที่สำคัญผู้หญิงจะมีการเก็บสะสมธาตุเหล็กน้อยกว่าในผู้ชาย

แหล่งของธาตุเหล็กที่ดีที่สุดคือ จากเนื้อสัตว์ และตับที่เรียกว่า “ฮีม ไอออน” ดังนั้นจึงมีอาหารเสริมที่สกัดจากตับอย่างมากมาย แต่ข้อเสียคือ เสื่อมง่ายทำให้มักไม่ได้ปริมาณธาตุเหล็กตามที่กำหนดไว้ ในปัจจุบันอาหารเสริมธาตุเหล็กมีหลายชนิด เช่น เฟอร์รัน ซัลเฟต เฟอร์รัส ฟูเมอเรต ซึ่งระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่าชนิดแรก ควรรับประทานธาตุเหล็กพร้อมๆ กับวิตามินซี จะช่วยให้ดูดซึมได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรรับประทานร่วมกับแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมฟอสเฟต เพราะจะลดการดูดซึมลง

ปริมาณธาตุเหล็กที่ต้องการเพิ่มในคนที่สูบบุหรี่ทั่วๆ ไปแข็งแรงดี คือ 10-15 มก./วัน แต่หากมีอาการซีดเลือดประจำเดือนเยอะอาจต้องการสูงถึง 50 มก./วันได้

สำหรับคุณผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ร่างกายจะต้องการวิตามินบี 6 (ไพรีดอกซิน) และโฟลิค แอซิด เพิ่มมากกว่าปกติ ควรได้รับวิตามินบี 6 วันละ 20 มก.

อาการผิดปกติช่วงก่อนมีรอบเดือน ที่เรียกว่า Pre-menstrual Syndrome หรือ PMS นั้นเป็นอาการที่ทำให้มีผลกระทบต่อการทำงานของคุณผู้หญิงค่อนข้างมาก กลุ่มอาการนี้ได้แก่ หงุดหงิด ขี้รำคาญ กระวนกระวาย ซึมเศร้า อ่อนเพลีย อยากขนมหวานมากขึ้น น้ำหนักขึ้น ท้องอืด เจ็บหน้าอก มึนศีรษะ ปวดหัว ฯลฯ มักเริ่มเป็น 7-10 วันก่อนมีรอบเดือน พอมีรอบเดือนอาการต่างๆ ก็หายไป

อาหารเสริมและวิตามินที่จะช่วยป้องกัน และรักษากลุ่มอาการ PMS ได้แก่

1.วิตามินอี ช่วยลดอาการเจ็บหน้าอกให้ได้ตั้งแต่ 100-400 ยูนิตสากล/ วัน

2.วิตามินบี 6 (ไพรีดอกซิน) ช่วยลดความแปรปรวนทางอารมณ์ ขนาดที่ให้คือ 20-50 มก./วัน ในช่วงที่มีอาการ ช่วงปกติให้ 20 มก./วัน ก็พอ ไม่ควรรับประทานขนาด 50 มก./วัน ติดต่อกันนานๆ ยกเว้นอยู่ในความดูแลของแพทย์

3.แอล-ไทโรซีน (L-tryrosine) ช่วยลดอาการอ่อนเพลียและอาการซึมเศร้า ขนาดที่ใช้คือ 500 มก. ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงวันละ 3 ครั้ง หรือ 1,500 มก./วัน ไม่ควรใช้กรดอะมิโนตัวนี้รวมกับยารักษาโรคซึมเศร้า ในกลุ่มสารยับยั้ง โมโนเอมีน ออกซิเดซ และไม่ควรให้ในคนที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง

4.เลซิติน หรือฟอสฟาติดิลโคลีน ช่วยในการควบคุมอารมณ์และเสริมสร้างความจำ เพราะร่างกายจะใช้โคลีนไปสร้างเป็นสารสื่อนำประสาทได้ ขนาดที่ให้คือ 1-10 กรัม/วัน โดยไม่พบข้อแทรกซ้อม หรืออาจรับประทานโคลีนขนาด 100-1,000 มก./วัน โดยตรงก็ได้ ควรเริ่มขนาดน้อยก่อน หากยังไม่เห็นผลจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น

5.แอล-คาร์นิทีน (L-carnitine) ขนาดสูง 2 กรัม/วัน ช่วยลดอาการท้องอือ และลดน้ำหนักตัวที่ขึ้นผิดปกติในช่วงนี้ได้

6.อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ (Evening Primrose Oil) หรือ EPO เป็นน้ำมันที่สกัดจาดเมล็ดของดอกอีฟนิ่งพริมโรส มีกรดไขมันแกมมาไลโนเลนิค แอซิด ซึ่งร่างกายจะนำไปเปลี่ยนเป็นพรอสตาแกลนดินส์ ซึ่งจะสามารถช่วยควบคุมและรักษาอาการ PMS ได้ ขนาดที่ให้คือ วันละ 2-4 กรัม

7.การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยลดอาการ PMS ได้

8.ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และพวกเนื้อวัว เนื้อหมู

ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ปัญหาที่น่ากลัวที่สุด คือ โรคกระดูกบาง (osteoporosis) โดยเฉพาะในคนที่ไม่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนเสริม เพราะจะทำให้กระดูกเปราะ หักง่าย การป้องกันที่ดี คือ การได้รับแคลเซียมมากเพียงพอตั้งแต่ในวัยสาว ไม่ใช่มาเสริมเอาตอนหมดรอบเดือนแล้ว การออกกำลังกาย เช่น เดินวันละ 20-30 นาที 3 ครั้ง/สัปดาห์ ก็ช่วยป้องกันโรคนี้ได้

แคลเซียมเสริมสำหรับหญิงก่อนหมดประจำเดือนและหญิงหมดประจำเดือนที่รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนคือ 1,000 มก./วัน แต่ถ้าอยู่ในวัยหมดประจเดือน และไม่มีฮอร์โมนเสริมควรรับประทานแคลเซียมวันละ 1,500 มก.

แคลเซียม คาร์บอเนต ใช้กันมากที่สุด แต่จะดูดซึมได้ดีเมื่อมีกรดในกระเพาะ จึงต้องรับประทานพร้อมอาหาร

แคลเซียม ซิเตรท สามารถรับประทานได้ในขณะท้องว่าง ทั้งซิเตรทจะช่วยป้องกันการตกตะกอน เกิดนิ่วในไตได้อีกด้วย

ในหญิงที่มีปัญหาระดับแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแคลเซียมเสริม

ในคนที่มีปัญหาไตวายไม่ควรรับประทานแคลเซียมเสริมที่มีแมกนีเซียมอยู่ด้วย

ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมักจะรู้สึกหนาวง่าย แม้ต่อมธัยรอยด์จะทำงานปกติ เพราะถึงแม้จะมีธาตุเหล็กขาดไปเพียงเล็กน้อย และไม่มีอาการซีดแต่อย่างใด ร่างกายก็อาจปรับอุณหภูมิไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการธาตุเหล็กเสริมด้วย

ที่มา: I Love My Life อภินันทนาการฟรีพร้อมหนังสือพิมพ์ “คู่แข่งธุรกิจรายสัปดาห์” เฉพาะฉบับที่ 116 วันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ษ 2536 หน้า 29-33

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551

อาหารกับผู้บริหาร (ชาย)

อาหารกับผู้บริหาร (ชาย)
สุขภาพของผู้บริหารเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากสุขภาพไม่ดีก็คงมีผลงานสร้างสรรค์ที่ดีตามมาไม่ได้ จากการตรวจพบว่าผู้บริหารชายกลัวเท่ไม่มากกว่าหญิงเสียด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะไม่อยากจะสูญเสียสภาพผู้บริหารระดับสูงไปถ้าถูกคนอื่นบอกว่า “แก่วัยแล้วไร้ค่า”

ภาวะโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้บริหาร ก็ได้แก่การเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน โดยเฉพาะโปรตีนจากปลาซึ่งย่อยง่ายและให้น้ำมันอีพีเอ ลดคอเลสเทอรอลอีกด้วย และให้เน้นพวกผักสดและผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารให้มาก เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างเพียงพอ ทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ วันละ 8-12 แก้ว

สิ่งที่ผู้บริหารควรหลีกเลี่ยงก็คือ อาหารประเภทน้ำตาล อาหารมัน โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ แกงกะทิ เนื้อสัตว์พวกหมู และเนื้อวัว ที่มีคอเลสเทอรอลสูง ไข่แดง ควรจำกัดไม่ให้เกินสัปดาห์ละ 2 ฟอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำชา-กาแฟ โคล่า ที่มีคาเฟอีนสูง และควรงดสูบบุหรี่ด้วย

อาหารเสริมโดยเฉพาะพวกวิตามินและเกลือแร่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะระดับผู้บริหารมักจะมีอันจะกิน แต่ไม่ค่อยได้เลือกกินของมีประโยชน์เท่าที่ควร รวมทั้งความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงานและสภาพแวดล้อมจะมีผลให้ร่างกายต้องการวิตามินและเกลือแร่เพิ่มมากขึ้น แม้ในคนที่รับประทานอาหารได้ครบทุกหมู่ก็ยังต้องการวิตามินและเกลือแร่เสริม เพราะปริมาณวิตามินตามค่า RDA นั้นเพียงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาด แต่ไม่พอสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพ และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้

จากงานวิจัยพบว่าวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด สามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆโดยเฉพาะโรคจากความเสื่อมของร่างกายตามวันได้ เช่น โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ คอเลสเทอรอลสูง มะเร็ง โรคอ้วน ภูมิต้านทานต่ำ อ่อนเพลีย กระดูกเสื่อม ฯลฯ

วิตามินที่ช่วยลดความเครียดให้แก่ร่างกายบำรุงประสาทและสมอง ได้แก่ วิตามินในกลุ่มบีรวม โดยเฉพาะวิตามินบี 1-6-12 ดังนั้นผู้บริหารที่มีความเครียดสูง จะได้รับวิตามินกลุ่มนี้สม่ำเสมอ

ในผู้บริหารที่สูบบุหรี่ หรือต้องอยู่ในที่ๆ มีควันบุหรี่มาก โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องการวิตามินและเกลือแร่เสริมมากเป็นพิเศษ นั่งทำงานในควันบุหรี่ รวมทั้งควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมในปัจจุบันจะมีออกซิเจนที่เป็นพิษ “ไนโตรเจนออกไซด์” และ ฟรี แรดิคอล จำนวนมากซึ่งสารเหล่านี้จะไปทำงายเยื่อหุ้มเซลล์ นิวเคลียสของเซลล์ ทำให้เซลล์ตายและกลายเป็นมะเร็ง ดังนั้นเราจึงพบว่าคนที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งปอดสูงและสามีหรือภรรยาของคนที่สูบบุหรี่ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งปอดเพิ่มเป็นสองเท่าของปกติ ทั้งควันบุหรี่ยังทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพองด้วย

วิตามินและเกลือแร่ สำหรับคนสูบบุหรี่ ได้แก่ เบตา แคโรทีน วันละ 15 มก. หรือ 25,000 ยูนิตสากลวิตามินอี 400 ยูนิตสากล วิตามินซี 500-1000 มก. โฟลิคแอซิด 800 ไมโครกรัม วิตามินบี 12 500 ไมโครกรัม ซิลีเนียม 200 ไมโครกรัม และสังกะสี 15-30 มก.

วิตามินและเกลือแร่ดังกล่าวจะมีคุณสมบัติเป็น “แอนตี้ออกซิแดนท์” ต่อต้านและทำลายฟรี แรดิคอล ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม จึงช่วยลดความเสี่ยงชองมะเร็งปอด ตลอดจนความเสื่อมของร่างกายด้วย

ในปี ค.ศ. 1988 มีรายงานทางการแพทย์ว่า ในคนที่เริ่มมีความผิดปกติของทางเดินหายใจ หรือเริ่มมีมะเร็งระยะแรก การให้โฟลิค แอซิดขนาด 10 มก. และวิตามินบี 12 ขนาด 500 ไมโครกรัม สามารถทำให้เนื้อร้ายระยะแรกนี้กลายเป็นปกติได้ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะเป็นการให้วิตามินสูงเพื่อการรักษา

ในผู้ชายวัยกลางคน ไม่มีความจำเป็นต้องเสริมธาตุเหล็ก เพราะมักไม่ขาด ยกเว้นเป็นโรคบางชนิด หรือกำลังลดอาหารเพื่อลดน้ำหนักเท่านั้น

ที่มา: I Love My Life อภินันทนาการฟรีพร้อมหนังสือพิมพ์ “คู่แข่งธุรกิจรายสัปดาห์” เฉพาะฉบับที่ 116 วันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ษ 2536 หน้า 25-28

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

มหาวิทยาลัยมาม่า

มหาวิทยาลัยมาม่า

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

โดย สุมน อมรวิวัฒน์ แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ผู้เขียนขออภัยที่นำชื่ออาหารยอดนิยมมาตั้งชื่อบทความนี้

"มาม่า" เป็นได้ทั้งชื่อเฉพาะและชื่อทั่วไป ซึ่งหมายถึงบะหมี่สำเร็จรูปทุกยี่ห้อที่จำหน่ายสำหรับผู้ที่ต้องการกินอาหารอย่างรีบด่วน ปรุงง่าย อร่อย และอิ่มเร็ว แม้ว่าจะมีส่วนประกอบเป็นเส้นหมี่ วุ้นเส้น และมีรสชาติต่างกัน เราก็เรียกว่า มาม่า คนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกัน เหมือนกับที่เรียกผงซักฟอกทุกยี่ห้อว่า แฟ้บ และเรียกบาล์มทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นอย่างน้ำหรือขี้ผึ้งว่า ยาหม่อง

ผู้บริโภคบะหมี่สำเร็จรูปมีจำนวนมากมายมหาศาลทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การผลิตสนองความต้องการของตลาด จึงต้องใช้ระบบโรงงานที่มีตัวป้อน กระบวนการผลิต และตรวจสอบคุณภาพของผลผลิตทุกชิ้นอย่างเข้มงวด

การผลิตบะหมี่สำเร็จรูปมีสูตรที่แน่นอน กำหนดวัตถุดิบส่วนผสม วิธีปรุงอย่างแน่นอนในแต่ละรสชาติ เครื่องจักรในโรงงานมีกลไกที่ช่วยให้ผลิตได้รวดเร็ว ต่อเนื่องตามสายพานทุกขั้นตอนจนออกมาเป็นก้อนบะหมี่และผงปรุงรส บรรจุหีบห่อสวยงาม ดูน่ากิน ทั้งรสหมูสับ รสต้มยำกุ้ง รสผัดขี้เมา ผู้บริโภคได้ลิ้มรสหมูสับ แต่ไม่มีเนื้อหมู รสต้มยำกุ้งไม่มีกุ้ง ถ้าจะให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนจึงต้องเติมไข่ เนื้อสัตว์ และผักเข้าไปด้วย

มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาขั้นอุดมมาเกี่ยวอะไรกับบะหมี่มาม่า

ขอตอบว่าผู้เขียนมองบะหมี่สำเร็จรูปในด้านดีมิใช่ด้านร้าย เพียงแต่อยากเปรียบเทียบระบบและกระบวนการผลิตบัณฑิต ตั้งแต่การคัดเลือกตัวป้อน กระบวนการเรียนการสอน และผลผลิตคือบัณฑิตจำนวนแสนในแต่ละปีนั้น มีคุณภาพและปัญญาหารเพียงใด มหาวิทยาลัยกลายเป็นโรงงานผลิตปริญญาบัตรที่ลูกค้าทั่วประเทศใฝ่ฝันต้องการมาครอบครองจริงหรือ?

เมื่อมหาวิทยาลัยใช้วิธีการตามระบบโรงงาน มหาวิทยาลัยจึงต้องมีการคัดเลือกตัวป้อนเข้าสู่ระบบอย่างเข้มงวดสำหรับมหาวิทยาลัยแบบปิดหรือแบบจำกัดจำนวนรับ ส่วนมหาวิทยาลัยเปิดนั้น แม้จะมีจุดประสงค์เพื่อให้โอกาสคนส่วนใหญ่ได้เข้าเรียน แต่ก็ต้องมีกฎเกณฑ์บางประการที่ตัวป้อนเหล่านั้นจะถูกกลั่นกรองทีละขั้น มิฉะนั้นก็ไม่สำเร็จการศึกษา ซึ่งมักจะมีคำกล่าวกันว่า เป็นมหาวิทยาลัยที่เข้าง่ายแต่จบยาก

ตัวป้อนของบะหมี่สำเร็จรูปก็คือ แป้งสาลี น้ำมันปาล์ม และเครื่องชูรสต่างๆ ตามสูตรที่กำหนด ซึ่งก็จะต้องเลือกสรรวัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพเป็นสำคัญ

ส่วนตัวป้อนเข้าสู่ระบบอุดมศึกษานั้น นอกจากทรัพยากรต่างๆ แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ นักเรียนที่สมัครเข้าเรียน ซึ่งมีการคัดเลือกอย่างเข้มข้น ยิ่งเป็นมหาวิทยาลัยและคณะวิชาที่สังคมวางค่านิยมไว้สูง ก็ยิ่งมีการแข่งขันเหมือนกับเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

วิธีการสอบเข้าเพื่อคัดเลือกตัวป้อนที่เป็นมนุษย์ จึงสร้างความสุขและความทุกข์อย่างใหญ่หลวง แม้ว่าจะมีการวิจัยศึกษาหาวิธีการที่จะคัดเลือกหลายรูปแบบ เพื่อมิให้เกิดความบีบคั้น ความเครียด พยายามสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นทั่วถึงมากที่สุด แต่ความเป็นมนุษย์มิใช่แป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม ตัวป้อนเข้ามหาวิทยาลัยจึงมีความรู้สึก มีความคาดหวัง มีอารมณ์สุขทุกข์ ลุกลามไปถึงพ่อแม่พี่น้องในครอบครัว ปลาบปลื้มลิงโลดใจเมื่อสอบเข้าได้ และเศร้าโศกเมื่อผิดหวัง ตัวเลขและแต้มเฉลี่ยเป็นเสมือนตราประทับที่หน้าผาก ว่าคนนี้เข้าได้และคนนั้นต้องไปหาที่เรียนใหม่

เมื่อขันแข่งแย่งชิงกันเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว กระบวนการพัฒนาให้นิสิตนักศึกษาเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ ยิ่งมีองค์ประกอบ วิธีการ และบริบทที่ซับซ้อนยิ่งนัก สายพานการผลิตไม่เลื่อนไหลรวดเร็วเหมือนบะหมี่สำเร็จรูป หากแต่ใช้เวลาต่อเนื่องยาวนานและเป็นพลวัต

กระบวนการพัฒนาบัณฑิตแตกต่างจากกระบวนการผลิตในโรงงานอย่างสิ้นเชิง นักเรียนที่เข้าสู่มหาวิทยาลัยนั้นมีความแตกต่างหลากหลาย เติบโตและพัฒนาได้ไม่เหมือนกัน จนยากที่จะมีหลักสูตรและศาสตร์ที่ดิ่งเดี่ยว แข็งขึงตึงตัว เพียงหนึ่งเดียวมาเปลี่ยนแปลงนิสิตนักศึกษาได้ตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย

ปัจจุบันจึงเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการอุดมศึกษา ที่มุ่งพัฒนาบัณฑิตและพัฒนาหลักสูตรแบบองค์รวม เกิดความคิดเรื่อง humanized educare คือการพัฒนาบัณฑิตให้มีหัวใจเป็นมนุษย์

หลายมหาวิทยาลัยเริ่มศึกษากระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (transformative learning) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกลมกลืนระหว่างความรู้ภายนอกตนกับความรู้ภายในตน หลายสาขาวิชาเริ่มตระหนักว่า การเคี่ยวเข็ญให้นิสิตนักศึกษามีความรู้และเก่งในศาสตร์ของตนอย่างดิ่งเดี่ยวนั้น ไม่เกิดผลให้บัณฑิตประสบความสำเร็จในชีวิตการงานและการดำรงชีวิตในสังคม

มหาวิทยาลัยเริ่มปรับเปลี่ยนสาระและกระบวนการเรียนรู้ในหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป จากการที่มีรายวิชาซึ่งใช้เป็นฐานสำหรับต่อยอดในการเรียนวิชาเฉพาะ เช่น คณิตศาสตร์ สถิติเบื้องต้น ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมวิทยา วิทยาศาสตร์ทั่วไป ฯลฯ มาเป็นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร วิธีการคิดเชิงวิเคราะห์ การใช้เหตุผล ชีวิตกับธรรมชาติ ความเป็นพลเมืองดี สุนทรียภาพ และการพัฒนาบุคลิกภาพ โดยแทรกค่านิยมทางจิตวิญญาณ (spiritual value) เข้าไปตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 จนถึงปีสุดท้าย

กระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยได้เพิ่มความรู้ทางสังคมและการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ด้วยความเชื่อว่ามหาวิทยาลัยไม่ใช่หอคอยงาช้างอีกต่อไป แต่เป็นสถาบันหนึ่งของสังคมที่ต้องรับผิดชอบต่อความเจริญ ความเสี่ยง และความเสื่อมของชุมชนท้องถิ่น

การสอนจึงต้องเน้นพลังกลุ่ม การทำงานเป็นทีม การช่วยเหลือเกื้อกูล การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อความสุขและความทุกข์ของประชาชน

เมื่อมีข่าวว่าบัณฑิตหลายมหาวิทยาลัยฆ่าตัวตาย ข่าวเช่นนี้เกิดบ่อยเสียจนต้องคิดว่า กระบวนการผลิตบัณฑิตมิได้ฝึกให้รู้จักปรับตัวและแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี การพัฒนาสุขภาพจิตจึงเป็นเรื่องสำคัญในมหาวิทยาลัย ทุกวันนี้ ผู้บริหาร คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา ส่วนใหญ่ต่างก็เครียด คับข้องใจ และมุ่งแข่งขัน นิสิตนักศึกษาว้าเหว่ เหงาและโดดเดี่ยว ระบบอาจารย์ที่ปรึกษา ระบบการปรึกษาและแนะแนวจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

มหาวิทยาลัยเริ่มสนใจกระบวนการกัลยาณมิตรที่เปิดโอกาสให้บุคลากรและนิสิตนักศึกษาได้ช่วยเหลือเกื้อกูล แนะแนวทางซึ่งกันและกัน ตลอดจนกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เส้นทางดำเนินชีวิตอย่างไม่เป็นทางการ ทุกวันนี้มี "การประชุม" มากเกินไปในมหาวิทยาลัย แต่ขาดแคลนกิจกรรมที่เราจะพบปะพูดคุยกันอย่างเปิดเผยและปลอดโปร่งโล่งใจ

เมื่อตัวป้อนของมหาวิทยาลัยเป็นมนุษย์ สถาบันนี้จึงต้องเป็นองค์กรที่มีชีวิต มีสุขภาวะ และสร้างปัญญาหาร 4 หมู่ คือ ความรู้ ความคิด ความสามารถ และความดี ให้แก่ผู้ที่จะเป็นบัณฑิตเกิดความรู้ดี คิดดี และทำดี

ชีวิตของนิสิตนักศึกษามิได้อยู่เพียงในห้องเรียนและห้องปฏิบัติการเท่านั้น นอกเหนือจากคำบรรยาย ตำรา และโสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ เขายังได้สัมผัสกับบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และผู้คนมากมาย บริบทเหล่านี้จะช่วยสร้างลักษณะที่เป็นทั้งคุณและโทษ ถ้าเขาคุ้นชินกับวิธีการเรียน ศึกษาค้นคว้าน้อยๆ แต่ต้องการคะแนนมาก คุ้นชินกับอาคารเรียน ห้องอาหาร ห้องน้ำที่สกปรก คุ้นชินกับสิ่งแวดล้อมที่แห้งแล้ง มีเศษขยะทิ้งเกลื่อน และเสียงพูดคุยที่หยาบคาย ตะโกนตะคอกใส่กัน เมื่อเขาเป็นบัณฑิต เขาก็จะเคยตัวที่ต้องหาวิธีทำงานน้อยๆ เพื่อให้ได้เงินมากๆ เคยตัวต่อการผรุสวาทด่าทอ เคยตัวต่อการดำรงชีวิตที่สกปรกทั้งกายและใจ

มหาวิทยาลัยต้องการผลผลิตเช่นนี้หรือ?

จริงอยู่ มหาวิทยาลัยมีประเด็นหลายประการที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ ความเป็นเลิศในการแข่งขัน การเข้าถึงความรู้ที่ก้าวไกลอย่างไม่หยุดยั้ง ความเสมอภาค และเป็นธรรมทางการศึกษา ประสิทธิภาพทางการวิจัยและวิชาการของคณาจารย์ คุณภาพของการเรียนการสอนและคุณภาพของบัณฑิต เป็นต้น แต่ผู้เขียนก็อยากเห็นมหาวิทยาลัยก้าวพ้นจากระบบคิดอย่างเดิมๆ ก้าวข้ามจากการเป็นโรงงานผลิตปริญญาบัตร ก้าวกระโดดจากการเป็นมหาวิทยาลัยมาม่าไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิต สร้างปัญญาและแสงสว่างให้ชีวิตของบัณฑิตทุกคน

ในการบรรยายเรื่องวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้สรุปเบญจลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ในฐานะที่เป็นองค์กรหนึ่งของสังคมว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องสร้างคุณลักษณะของมหาวิทยาลัย 5 ประการคือ

1.มหาวิทยาลัยต้องเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง (healthy organization)

2.มหาวิทยาลัยต้องเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนา (learning organization)

3.มหาวิทยาลัยต้องเป็นองค์กรที่มีเสรีภาพทางปัญญา (intellectual organization) คือไม่ตกอยู่ในกับดักของหลักเกณฑ์ที่เป็นกรอบตายตัว ไม่ยอมจำนนต่อความยากและอุปสรรคในการริเริ่มสิ่งใหม่ที่สร้างสรรค์

4.มหาวิทยาลัยต้องเป็นองค์กรที่มีพลัง (smart organization) มีการเสริมพลังทวีคูณอยู่เสมอ ถ้าจะใช้ภาษาทันสมัยก็คือ เท่อย่างมีท่วงท่า...มีเอกลักษณ์และศักยภาพ

5.มหาวิทยาลัยต้องเป็นองค์กรที่มีชีวิต (living organization) มีความเติบโตงอกงาม ไม่ชะงักงันและเหี่ยวเฉา มีบรรยากาศคึกคักทางวิชาการ เบิกบานด้วยกิจกรรมสัมพันธ์ และเปิดกว้างออกไปสู่สังคมส่วนรวม

ท่านระพินทรนาถ ตะกอร์ รัตนกวีชาวอินเดียได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ชื่อ "อาศรมศานตินิเกตัน" เมื่อ พ.ศ.2444 เป็น "...สำนักศึกษาที่ประชาชนผู้แตกต่างกันด้วยอารยธรรมและประเพณี ได้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกัน...เด็กที่มีสติปัญญาปานกลางหรือต่ำกว่าสามัญ ก็อาจได้รับการอบรมให้เป็นพลเมืองดีงามจนกลายเป็นบุคคลมีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองได้...ท่านเห็นว่ามนุษย์เราเปรียบประดุจเมล็ดพืช ถ้าเพาะผิดวิธีก็ไม่งอกงาม แต่ถ้าถูกวิธี คือถูกแก่อัธยาศัย จิตใจ และสติปัญญาแล้ว พืชที่แม้จะมีทีท่าว่าจะไม่แตกดอกออกกอ ก็อาจเจริญเติบโตกลายเป็นไม้มีค่าต่อไปก็ได้..."

ความสดสวยของดอกไม้มิได้เกิดจากการระบายสี
แววขนที่เลื่อมลายระยับยามยูงรำแพนไม่มีใครแต่งแต้ม
ดวงไฟย่อมจุดไม่ติดหากขาดเชื้อเพลิงอยู่ภายใน
ยากนักที่เราจะเติมโอชารสที่เปลือกผลไม้
ใครเล่าจะผลิตบัณฑิตให้เป็นศึกษิตที่สง่างาม
คุณลักษณะทุกอย่างของทุกสิ่ง ทุกคนย่อมฉายออกจากภายในมากกว่าการห่อหุ้มฉาบทาจากภายนอก

นี่คือบทความที่เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของความคาดหวังต่อพันธกิจของมหาวิทยาลัย เป็นการมองภาพรวมของระบบมากกว่าการเจาะจงลงลึกในแต่ละด้าน เป็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทัดทานมิให้มหาวิทยาลัยเป็นโรงงานผลิตปริญญาบัตรและจัดการอุดมศึกษาเชิงพาณิชย์
จะเกิดผลอย่างไรก็แล้วแต่บุญกรรมที่จะกระทบต่ออนาคตของประเทศไทย

ที่มา: มติชน วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10962หน้า 9

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2551

เลี้ยงเด็กให้เป็นคนดี

ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็น ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เขียนบทความที่ไม่ใช่บทความวิพากษ์วิจารณ์การเมือง ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ ฉบับวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑ อาจารย์ชัยอนันต์ได้เขียนบทความเรื่อง "เลี้ยงเด็กให้เป็นคนดี" โดยอาศัยประสบการณ์การเลี้ยงดูบุตร-ธิดา ของท่านเอง บทความนี้น่าสนใจ และมีข้อคิดที่ดี เผื่อสมาชิก Blog KM จะได้นำประสบการณ์ของอาจารย์ชัยอนันต์ไปใช้บริหารครอบครัวและเลี้ยงดูลูกของท่านได้


เลี้ยงเด็กให้เป็นคนดี

ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้จัดการออนไลน์ 2 มีนาคม 2551

ผมมีลูก 3 คน เป็นฝาแฝดชาย-หญิง และคนเล็กเป็นชาย คนเล็กเพิ่งแต่งงานไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมนี้เอง โบราณว่าเป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว ผู้ใหญ่ที่ไปงานบอกว่า เรามีบุญที่มีลูกๆ ดีทุกคน เหมือนกับแต่ก่อนที่ใครๆ พูดว่าพ่อ-แม่ผมมีลูกดีทุกคน

การมีลูกดีคงหมายถึง ลูกซึ่งมีความประพฤติดี มีการงานทำเป็นหลักเป็นฐาน การเลี้ยงลูกให้ดีนั้น เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน แต่ละครอบครัวมีวิธีการเลี้ยงดูอบรมต่างกัน

ตามประสบการณ์ของผม การเลี้ยงลูกให้ดีนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแม่ ป้าครูหรือคุณครูเนี้ยน สโรชมาน ชอบบอกผมว่า ผมจะต้องเป็นเด็กดี เพราะแม่ผมนั้นเวลาท้องผม ก็กินแต่ผักเพื่อให้ผมเติบโตมาแข็งแรง และฉลาดมีสุขภาพอนามัยดี คนสมัยใหม่บางคนเปิดเพลงให้เด็กในท้องฟังด้วย นัยว่าเป็นการกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยน

เมื่อเด็กเกิดมาแล้วพอรู้ความก็จะได้รับการสั่งสอนอบรม ทั้งความประพฤติและมารยาท นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่ผมอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านผู้อ่านคือ

1. การเล่านิทานก่อนนอน เป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเด็กได้เรียนรู้หลายอย่าง การเรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่องเป็นวิธีการสอนที่สนุกและเพลิดเพลิน ผมนอนกับย่า ย่าผมมีเรื่องเล่าเยอะแยะ ตั้งแต่นิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไปจนถึงเรื่องที่ย่าแต่งเองก็มี
2. อย่าสอนให้เด็กมีความอิจฉาริษยา หากมีพี่น้องก็อย่าเปรียบเทียบ โตขึ้นเด็กจะมีจิตใจไม่ดี
3. อย่าขู่เด็ก แต่ควรหาเหตุผลมาพูดกับเด็ก เวลาต้องการให้เด็กทำอะไร ควรพูดจาหว่านล้อมมากกว่าการข่มขู่หรือหลอก
4. ผู้ใหญ่ควรรักษาอารมณ์ให้คงเส้นคงวา อย่าตำหนิหรือลงโทษเด็กด้วยการใช้อารมณ์ หรือการประชดประชัน
5. แม้จะมีปัญหาครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระหว่างสามี-ภรรยา ปัญหาการเมือง ปัญหาการงาน ก็ไม่ควรนำมาพูดให้เด็กฟัง
6. เมื่อเด็กโตขึ้น พ่อ-แม่ควรอยู่บ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะเวลาอาหารเย็น และมีเวลาว่างที่พาลูกไปเที่ยว
7. ควรพาลูกไปงานตามสมควร อย่างน้อยก็ไปบ้านญาติหรือไปร่วมงานที่เด็กไปได้ จะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักวางตัวเข้าสังคม
8. ไม่ควรให้รางวัลเด็กอย่างพร่ำเพรื่อ หรือมากจนเกินไป การที่เด็กประพฤติดี เรียนดี ถือว่าเป็นการทำหน้าที่อยู่แล้ว
9. ไม่ควรให้เงินเด็กมากเกินไป
10. ควรสอนเด็กด้วยการทำตัวเป็นแบบอย่าง หากไม่ต้องการให้ลูกเล่นการพนัน สูบบุหรี่ กินเหล้า พ่อ-แม่ก็ต้องละเว้นจากอบายมุขเหล่านี้ด้วย
11. พ่อแม่ต้องพาเด็กไปวัดไปหาพระ และประกอบพิธีทางศาสนา
12. ที่บ้านควรมีตู้หนังสือ สอนการรักการอ่านให้กับเด็ก การอ่านหนังสือเป็นการสร้างสมาธิและการคิด
13. การที่จะทำให้เด็กมีจิตใจดี มีเมตตากรุณานั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการให้เด็กมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข (ลูกๆ ผมรักสุนัขมาก โดยเฉพาะคนเล็กชอบเก็บหมามาเลี้ยง เวลาไปเล่นกอล์ฟก็ชอบซื้อขาไก่ และขนมต่างๆ ให้หมากิน) การเลี้ยงหมามีผลต่อการสร้างความเมตตา และทำให้จิตใจอ่อนโยนยิ่งกว่าการฟังหรือเล่นดนตรี เพราะการเลี้ยงหมาเป็นปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต
14. ควรหางานอดิเรกให้เด็กทำ เพราะเป็นการสอนการใช้เวลาว่างที่ดี
15. ควรสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก โดยยกตัวอย่างผู้มีความดี หรือประสบความสำเร็จให้เด็กอยากเอาอย่าง
16. ควรสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้เด็ก ให้เด็กทำสิ่งที่ง่ายไปหายาก และคอยให้กำลังใจ ไม่ตำหนิหากเด็กมีความผิดพลาด
17. สอนให้เด็กมีสัมมาคารวะ มีความอ่อนโยน แต่ก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง
18. ให้เด็กรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่เห็นแก่ตัว
19. ไม่สนับสนุนให้เด็กชอบความหรูหรา ฟุ่มเฟือย หรือนิยมวัตถุสินค้าราคาแพง
20. สอนให้เด็กเข้าใจว่า การตรงต่อเวลามีความสำคัญ
21. สอนให้เด็กตระหนักถึงความซื่อสัตย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
22. สอนให้เด็กมีความอดทนในการทำงาน และทำงานอย่างมีคุณภาพ
23. สอนให้เด็กรู้จักการแบ่งเวลา
24. สอนให้เด็กมีวินัยในตนเอง ควบคุมตัวเองได้ ใช้เวลาในทางที่เป็นประโยชน์
25. สอนให้เด็กมองโลกในแง่ดี รู้จักอุเบกขา และการให้อภัย ไม่ผูกใจเจ็บอาฆาตคน แต่ต้องรู้จักระมัดระวังตัว หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และความรุนแรง
26. สอนให้เด็กรู้จักเสียสละ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
27. พาเด็กไปเที่ยวในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติที่สวยงาม เพื่อย้อมใจให้เกิดความรักในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
28. เวลาเด็กทำผิด หากไม่ใช่ความผิดที่ร้ายแรงก็เพียงแต่ตักเตือน การตักเตือนอาจใช้เพียงภาษากายก็พอ ไม่จำเป็นต้องดุด่าว่ากล่าว หากเด็กรู้ตัวว่าผิดแล้วก็ไม่ควรซ้ำเติม
29. ให้ความไว้วางใจแก่เด็ก ไม่ใช่เอาแต่ห้ามหรือคอยระแวดระวังจับผิด
30. ให้ความเป็นเพื่อนกับเด็ก

ทั้ง 30 ข้อนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมได้จากครอบครัว และผมใช้ปฏิบัติต่อลูก รวมไปถึงเด็กนักเรียนวชิราวุธ ในขณะที่ผมเป็นผู้บังคับการอยู่ด้วย เป็นการเลี้ยงดูอบรมเด็กที่บางคนอาจเห็นว่า “อ่อน” เกินไป เพราะไม่มีการบังคับจ้ำจี้จ้ำไช แต่เด็กๆ ที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยแบบนี้ จะมีความไว้วางใจผู้อื่น มีวินัยในตนเอง เกรงกลัวบาป มีความเป็นอิสระ มีจิตใจดี โอบอ้อมอารี ไม่เห็นแก่ตัว มีความเมตตากรุณา
ผมไม่แน่ใจว่า ผู้ที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาปกครองประเทศ จะเคยเป็นเด็กที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้หรือไม่ ผมเห็นว่าพฤติกรรมของคนเราสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตวัยเด็ก การเอาใจใส่เด็ก และอบรมบ่มนิสัยให้ดีจึงสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000025760

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มองมุมใหม่ :คุณค่า ความเชื่อ และแรงจูงใจของผู้นำที่ดี

มองมุมใหม่ :คุณค่า ความเชื่อ และแรงจูงใจของผู้นำที่ดี

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ 20 มีนาคม พ.ศ. 2550

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ในสัปดาห์นี้ เราจะมาดูกันต่อนะครับว่า จะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้ จะต้องประกอบด้วยปัจจัยใดอีกบ้าง

ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้นำแบบ Authentic คือจะต้องประกอบด้วย ความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จ รวมทั้งมีค่านิยม (Value) ความเชื่อ หรือทัศนคติที่ดีและเหมาะสมด้วย อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญคือเรามักจะไม่ค่อยรับรู้ถึงค่านิยม ความเชื่อที่แท้จริงของตัวเราจนกระทั่งเกิดปัญหาหรือวิกฤติขึ้นครับ

ในขณะที่สถานการณ์ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี งานทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เราอาจจะเขียนพวกค่านิยมและความเชื่อที่เราคิดว่าเรามีอยู่ได้อย่างไม่ยากเย็น โดยค่านิยมและความเชื่อเหล่านั้นก็มักจะออกมาในรูปแบบที่ดี ตามที่เราต้องการ แต่เมื่อใดก็ตามที่อาชีพ หรือการงาน หรือฐานะ ของเราเริ่มมีปัญหา เมื่อนั้นแหละครับที่ค่านิยมและความเชื่อที่แท้จริงของเราจะปรากฏออกมา

ท่านผู้อ่านลองนึกสมมติภาพดูนะครับว่า ถ้าที่องค์กรของท่านจะต้องมีการลดพนักงานลง และชัดเจนแล้วว่า ในหน่วยงานที่ท่านอยู่จะต้องมีการลดจำนวนพนักงานลงจำนวนหนึ่ง ท่านจะทำอย่างไรครับ? สิ่งที่ท่านจะทำนั้นก็จะมาจากค่านิยมและความเชื่อของท่าน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่พอถึงช่วงวิกฤติแล้วค่านิยมและความเชื่อดังกล่าวจะปรากฏออกมา เช่น ท่านอาจจะหาทางเอาตัวรอดเพียงลำพัง หรือพยายามหาทางช่วยเหลือทั้งหน่วยงานให้อยู่รอด หรือทำใจและพยายามหางานใหม่?

ทีนี้ประเด็นสำคัญสำหรับผู้นำแบบ Authentic ก็คือท่านผู้อ่านควรจะต้องรู้จักค่านิยม และความเชื่อของตนเองที่แท้จริง และเมื่อเป็นผู้นำก็สามารถแปลงค่านิยมและความเชื่อนั้นให้ออกมาเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม และเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจน

ตัวอย่างที่เคยพบเช่นอาจารย์บางท่านจะมีค่านิยมหรือความเชื่อประจำตัวว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีด้วยบรรยากาศที่สนุกสนาน ดังนั้น อาจารย์ท่านดังกล่าวก็จะสอนหนังสือด้วยความสนุก เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกในการเรียนหนังสือ ดังนั้น จะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้ ก็ต้องรู้จักคุณค่าและความเชื่อที่แท้จริงของตัวเรา รวมทั้งประพฤติ ปฏิบัติให้สอดคล้องกับคุณค่าและความเชื่อดังกล่าวด้วยนะครับ

นอกจากเรื่องของความเชื่อและคุณค่าแล้ว เรื่องของแรงจูงใจก็สำคัญครับ คนที่จะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้ จะต้องมีแรงขับดันหรือแรงจูงใจที่สำคัญครับ และประเด็นที่สำคัญคือเราจะต้องเข้าใจให้ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนหรือจูงใจเราครับ ท่านผู้อ่านเคยลองถามตัวเองไหมครับว่าอะไรคือปัจจัยที่ขับเคลื่อน หรือผลักดันหรือจูงใจให้ท่านผู้อ่านทำในสิ่งที่ทำอยู่?

ผู้นำส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยยอมรับนะครับ แต่ถ้าถามกันจริงๆ ก็จะพบว่าผู้นำส่วนใหญ่ จะมีแรงขับดันหรือจูงใจอยู่แล้วทั้งสิ้นครับ ซึ่งก็หนีไม่พ้นแรงจูงใจภายนอกกับภายในครับ ถ้าเป็นแรงจูงใจภายนอก ก็หนีไม่พ้นพวกรายได้ ค่าตอบแทน เกียรติยศ ชื่อเสียง การยอมรับ จากภายนอก ในขณะเดียวกัน แรงจูงใจภายในก็เป็นพวก โอกาสในการพัฒนาและเติบโต การได้ช่วยเหลือผู้อื่นพัฒนา การได้ช่วยเหลือสังคม หรือแม้กระทั่งการสร้างความแตกต่างและประโยชน์ให้กับโลกใบนี้

ประเด็นสำคัญคือจะเป็นผู้นำที่ดีได้ จะต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผลักดันและจูงใจเรา พร้อมทั้งสร้างความสมดุลระหว่างแรงจูงใจภายนอกและภายในครับ เราอาจจะอยากจะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง หรือการยอมรับ แต่ก็ไม่ควรที่จะให้น้ำหนักกับแรงจูงใจภายนอกมากเกินไปนะครับ จะต้องหันมาสร้างความสมดุลกับแรงจูงใจภายในด้วย นั้นคือนอกจากจะได้ทรัพย์สิน ชื่อเสียง แล้ว อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เราทำงานหรือเป็นผู้นำ?

ใช่เป็นเพราะได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นและประเทศ หรือเป็นเพราะทำให้ตัวเราได้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งการทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด เป็นต้น สิ่งที่สำคัญ คือท่านผู้อ่านจะต้องรู้ในสิ่งที่จูงใจตัวท่าน และพยายามสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งจูงใจภายนอกกับภายในนะครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับ แนวคิดการพัฒนาผู้นำแบบ Authentic ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่าทุกอย่างจะต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเราเองก่อนทั้งสิ้นนะครับ ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม และค่าเชื่อที่มีอยู่ จนกระทั่งถึงแรงจูงใจที่ช่วยผลักดันให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เนื้อหาในสามสัปดาห์คงพอจะทำให้ท่านผู้อ่านได้ย้อนหันกลับมาดูตัวท่านเองบ้างนะครับ และที่สำคัญคือ อย่าลืมทำความเข้าใจและความรู้จักในตัวท่านเองก่อนนะครับ ก่อนที่จะไปเป็นผู้นำคนอื่นเขาได้

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.thคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่ดีต้องเริ่มจากการรู้จักตนเอง

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่ดีต้องเริ่มจากการรู้จักตนเอง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 13 มีนาคม พ.ศ. 2550

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษที่หายไปสัปดาห์หนึ่งนะครับ อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้เราก็กลับมาพบกันตามเดิม และเนื้อหาก็ยังต่อเนื่องจากสองสัปดาห์ที่แล้ว โดยเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้ในเรื่องของผู้นำที่ทั้งเก่งและดี โดยเฉพาะดีในแง่ที่ว่าเป็นผู้นำที่มีลักษณะเป็น Authentic นั้น คือมีความน่าเชื่อถือ มุ่งมั่น บริหารด้วยทั้งหัวใจและสมอง โดยประเด็นสำคัญคือจะพัฒนาผู้นำที่มีลักษณะ Authentic ขึ้นมาได้อย่างไร? บรรดาทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำก็ไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้ายที่จะบอกได้ว่า จะพัฒนาคนๆ หนึ่งให้เป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้อย่างไร?

ในวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีบทความหนึ่งชื่อ Discovering Your Authentic Leadership เขียนโดย Bill George อดีตซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องมือแพทย์กับพรรคพวก โดย ได้สำรวจบรรดาผู้นำ ที่เรียกว่าเป็น Authentic Leader เพื่อหาคำตอบว่า จะเป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้อย่างไร?

ประเด็นที่น่าสนใจที่ผมทิ้งท้ายไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วก็คือ คนจะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้นั้นจะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจ และรู้จักตัวเองก่อนครับ และไม่ใช่เพียงแค่รู้จักตัวเองเพียงอย่างเดียว ยังจะต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาครับ ซึ่งในประเด็นนี้มีความน่าสนใจมากครับ เนื่องจากเคยได้ยินบางคนพูดเหมือนกันว่า จะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นต้องเข้าหลักสูตรเจ๋งๆ เรื่องภาวะผู้นำก่อน หรือต้องรอให้ได้เจ้านายดีๆ มาสอนงานก่อน ซึ่งถ้าคิดแบบนั้นก็แสดงว่าเรามัวแต่รอคนอื่นเขาป้อนให้นะครับ

ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้ค้นพบเกี่ยวกับผู้นำที่เป็น Authentic เนื่องจากคนเหล่านี้จะไม่หยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญ คือคนที่จะรับผิดชอบต่อการพัฒนาความเป็นผู้นำของตัวเราก็คือตัวเราเองครับ เหมือนกับนักกีฬาหรือนักดนตรีที่เก่งๆ ครับ ที่จะต้องรู้จักพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไม่สามารถรอให้คนอื่นเขามัวมาป้อนความเป็นผู้นำให้ได้หรอกครับ

ที่น่าสนใจเช่นกันก็คือคนที่จะเป็น Authentic Leader ได้นั้น มักจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองเป็นสำคัญครับ เหตุการณ์ ประสบการณ์ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต จะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมค่านิยม ทัศนคติ และความคิดของบุคคลเหล่านั้น โดยบุคคลเหล่านั้นมักจะสามารถย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา หรือเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต ที่มีส่วนหล่อหลอมต่อค่านิยม และทัศนคติของตนเอง

ท่านผู้อ่านลองย้อนกลับมาดูที่ตัวท่านเองบ้างก็ได้ครับ ความคิด ค่านิยม หรือทัศนคติของท่านในปัจจุบัน ได้เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ในประสบการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือไม่? ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่าน คงจะมีประสบการณ์เช่นนั้นมาบ้างนะครับ

จริงๆ เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นผู้นำหรือตัวตนของเราในปัจจุบันนะครับ เพียงแต่เรารู้จักที่จะเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้นหรือไม่? ตอนที่นั่งเขียนบทความนี้ผมก็นึกถึงเรื่องของตัวเองเหมือนกันครับ ซึ่งก็นึกย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย และเป็นวันปิดเรียนภาคต้น จำได้ว่าในวันนั้นทุกคนฉลองการปิดเทอมด้วยการทำห้องเลอะเทอะไปหมด จนอาจารย์ประจำชั้น (ซึ่งเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษด้วย) เขียนอะไรซักอย่างบนกระดาน

ซึ่งผมเองจำข้อความทั้งหมดไม่ได้ แต่ที่จำได้จนวันนี้คือคำว่า Self-Discipline ซึ่งในช่วงนั้นก็ยังแปลไม่ออกครับ ต้องถามเพื่อนว่าแปลว่าอะไร (แปลว่าการมีวินัยในตนเอง) ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่า เพราะทำไม (อาจจะเป็นเพราะทำให้อาจารย์ผิดหวัง) แต่หลังจากนั้น ก็จะติดที่คำนี้มาตลอด จนกระทั่งนำมาสอนทั้งลูกและลูกศิษย์ในปัจจุบัน

การเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีตนั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ไม่ดีหรือเลวร้าย เราต้องอย่ามองด้วยใจที่รันทดหรือเป็นอคตินะครับ แต่ขอให้พยายามเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้น เพื่อนำมาหล่อหลอมเป็นค่านิยม หรือทัศนคติในการดำรงชีวิตของตนเอง และเผลอๆ อาจจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจหรือความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำขึ้นมาได้ครับ

คุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำแบบ Authentic (หรือในความเห็นผมของพวกเราทุกคนครับ) คือสิ่งที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Self-Awareness หรือการรู้จักตนเองนะครับ บอร์ดที่ปรึกษาของ Standford ถูกถามว่า อะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำที่จะต้องได้รับการพัฒนา ผลปรากฏว่าออกมาเป็นเสียงเดียวกันเลยครับ นั้นคือการรู้จักตนเอง

คนทำงานรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันต่างทำงานหนัก เพื่อมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ โดยเห็นแบบอย่างความสำเร็จมาจากผู้อื่น แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ก็มักจะรักษาความสำเร็จนั้นไว้ได้เพียงไม่นานครับ สาเหตุสำคัญก็คือคนเหล่านั้นไม่มีเวลาหันกลับมาดูและสำรวจตัวเองครับว่าจริงๆ แล้ว อะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการกันแน่

เราจะเห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคน ที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งความสำเร็จนั้นแล้วไปทำอย่างอื่นที่ตรงกันข้าม และสาเหตุหลักก็คือ "เพิ่งค้นพบตัวเอง" ดังนั้น ท่านผู้อ่านทุกท่านคงจะต้องเริ่มจากทำความรู้จักตนเองก่อนนะครับว่า อะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการกันแน่ และยิ่งรู้จักตนเองเร็วเท่าใด ก็ยิ่งดีเท่านั้นครับ และที่สำคัญ การที่รู้จักตนเองได้ดีนั้น ต้องกล้า และพร้อมที่จะยอมรับ โดยอาจจะศึกษาจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่ตนเองประสบมาในอดีต หรือการเปิดใจรับฟังความเห็นจากคนที่ใกล้ชิดและหวังดีกับเราจริงๆ จะเป็นผู้นำที่ทั้งดีและเก่งได้คงจะต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของท่านก่อนนะครับ ในสัปดาห์หน้าเรามาดูกันต่อนะครับว่า มีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่สำคัญ

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่เก่งและดีมาจากไหน?

ผู้นำและภาวะผู้นำเป็นหัวข้อหนึ่งที่สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ได้นำมาสอนในวิชาต่างๆ อาทิ พฤติกรรมองค์การและการพัฒนาองค์การ และจริยธรรมของนักบริหาร ในปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับผู้นำได้มีการพัฒนาไปจากอดีตมากมาย รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ ก็เป็นนักวิชาการท่านหนึ่งที่ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาการบริหาร บทความมองมุมใหม่ที่อาจารย์พสุได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาการบริหาร สำหรับในระยะแรกของการทำ blog KM สำหรับความรู้ด้านการบริหารนี้ผมขอนำแนวคิดเรื่องผู้นำมาเสนอ สำหรับบุคลากรของคณะรัฐศาสตร์ฯ ได้อ่านเพิ่มพูนความรู้ ตลอดจนสามารถนำไปประกอบการสอนได้ครับ

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่เก่งและดีมาจากไหน?

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้นำที่เก่งหาได้ไม่ยาก แต่คำถามคือต้องเก่งและดีด้วยครับ เราจะหาผู้นำแบบนั้นในปริมาณเยอะๆ ได้จากไหน? หรือจะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้อย่างไร? ผู้นำที่เก่งนั้นระบุไม่ยากนะครับ แต่ผู้นำที่ดีนั้นหมายถึงอะไรครับ? จะต้องเป็นผู้นำที่ปฏิบัติตามหลักธรรมหรือเปล่า? หรือผู้นำที่อยู่ในกรอบจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม?

ตรงนี้เป็นเรื่องที่กำหนดลำบากเหมือนกันนะครับ แต่ในหลักการทางด้านผู้นำของชาติตะวันตกแล้ว เขามักจะใช้คำว่า Authentic เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้นำที่ดีครับ นั่นคือไม่ใช่แค่เป็นคนที่ดีอย่างเดียว แต่ต้องเป็นที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ จากผู้ใต้บังคับบัญชา และสังคมรอบข้างด้วย


ท่านผู้อ่านไม่ต้องมองอื่นไกลครับ ลองสังเกตในบ้านเราดูก็ได้ว่า เริ่มมีกระแสที่จะไม่ไว้วางใจผู้บริหารระดับสูงกันมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งในอดีตการไม่ไว้วางใจผู้นำนั้น เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกว่า เป็นไปไม่ได้ เคยอ่านหนังสือเจอว่าในยุคหนึ่งเรามีผู้นำประเทศ ที่ยึดหลัก "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" ซึ่งประชาชนก็ให้ความเชื่อถือและไว้วางใจ โดยปฏิบัติตามนโยบายต่างๆ ที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการใส่หมวก เลิกกินหมาก หรือรัฐนิยม
แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับประเทศ หรือผู้นำองค์กรต่างๆ ก็มักจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนหรือผู้ใต้บังคับบัญชากันเท่าใด มิฉะนั้น หน่วยงานหรือองค์กรที่ทำหน้าที่ในด้านการตรวจสอบ คงจะไม่ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหมือนในปัจจุบัน

ดูเหมือนว่า ความท้าทายของผู้นำยุคใหม่ จะไม่ใช่เพียงเรื่องของการเป็นผู้นำที่เก่งเพียงอย่างเดียวแล้วนะครับ แต่ผู้นำจะต้องเป็นผู้นำที่เป็นที่น่าเชื่อถือ และไว้วางใจของบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย สังคมเราต้องการผู้นำที่มีลักษณะดังกล่าวมากขึ้น นั่นคือ ทั้งเก่งและน่าเชื่อถือ คำถามสำคัญคือจะไปหามาจากไหน? หรือจะพัฒนาให้มีผู้นำในลักษณะดังกล่าวได้อย่างไร?

เมื่อหันกลับมาดูบรรดางานวิชาการด้านภาวะผู้นำ พวกนักคิดต่างๆ ก็ได้พยายามหาสูตรสำเร็จของภาวะผู้นำออกมา มีทฤษฎีหรือแนวคิดต่างๆ ทางด้านผู้นำออกมาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก็เพื่อตอบคำถามว่า ผู้นำที่ดีและเก่งควรจะมีคุณลักษณะอย่างไร รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรในการพัฒนาให้คนๆ หนึ่ง กลายมาเป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ดี สิ่งที่พบก็คือ เราคงไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบหรือถ่ายทอดภาวะของผู้นำจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ ถ้าใครก็ตามที่พยายามที่จะลอกเลียนแบบคุณลักษณะหรือสไตล์ของผู้นำที่ทั้งเก่งและดี ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คิดไว้

ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้จากผู้อื่นได้ครับ แต่ไม่สามารถลอกเลียนจากเขาได้ มีอดีตผู้บริหารของ GE หลายท่านเคยกล่าวไว้เหมือนกันครับว่า ใน GE นั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้บริหารทุกคนอยากจะเป็นเหมือนอย่าง Jack Welch โดยพยายามลอกเลียนสไตล์ คุณลักษณะ และวิธีการในการบริหาร ซึ่งสุดท้ายคนที่มาเป็น CEO แทน Jack Welch อย่าง Jeff Immelt ก็ไม่ได้มีส่วนเหมือนกับ Jack Welch เสียเท่าใด

สรุปก็คือ จะเป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดี คงยากที่จะลอกเลียนจากผู้นำอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ เราสามารถเรียนรู้การเป็นผู้นำของคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถลอกเลียนแบบภาวะผู้นำของผู้อื่นได้ครับ

จริงๆ แล้ว มีหนังสือขายดีเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้วอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ Authentic Leadership ซึ่งเขียนโดย Bill George ซึ่งเคยเป็น CEO ของบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ชื่อ Medtronic และปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่ Harvard Business School โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวเขาได้นิยาม Authentic Leadership ไว้กว้างกว่าผู้นำที่น่าเชื่อถือ ที่ผมได้นำเสนอไว้ในเบื้องต้นอีกนะครับ

โดยผู้นำที่เป็น Authentic Leader นั้น จะต้องมีความมุ่งมั่นต่อการบรรลุเป้าหมาย ปฏิบัติตามค่านิยมที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ (หรือพูดเป็นไทยง่ายๆ คือ ทำตามที่คิดและพูด ไม่ใช่เหมือนผู้นำบางท่านที่พูดอย่าง ทำอย่าง) และนำด้วยทั้งหัวใจและหัวสมอง ผู้นำเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกภาคส่วน และในขณะเดียวกัน ก็มีวินัยในตนเองเพียงพอที่จะทำงานให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ทีนี้ก็มาถึงคำถามสำคัญครับ คือ ทำอย่างไรถึงจะพัฒนาตนเองหรือพัฒนาผู้อื่นให้เป็น Authentic Leader หรือเอาแค่ง่ายๆ ก่อน คือให้เป็นผู้นำที่มีความน่าเชื่อถือก่อนก็ได้ครับ?

ทางผู้เขียนหนังสือเรื่อง Authentic Leadership ก็ได้ร่วมกับพรรคพวก ทำการวิจัยเพื่อตอบคำถามนี้ครับ โดยผลจากการสอบถามผู้นำ ที่เป็นลักษณะ Authentic กว่าพันรายพบว่า การจะเป็นผู้นำที่มีลักษณะ Authentic นั้น ไม่ได้เกิดจากการมีคุณลักษณะ หรือบุคลิกภาพ หรืออะไรร่วมกันเลยครับ เราไม่สามารถหาปัจจัยร่วมของผู้นำ ที่มีลักษณะ Authentic แต่สิ่งที่พบจากงานวิจัยในครั้งนี้ ก็คือ
ความเป็นผู้นำของแต่ละคน เกิดหรือได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากตัวตนแต่ละคนทั้งสิ้น นั่นคือทุกคนจะมีภาวะผู้นำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะรู้จักที่จะเรียนรู้ เข้าใจ และสามารถพัฒนาความเป็นผู้นำในตัวเราให้ออกมา และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือไม่? ผู้นำที่ดีไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นเพราะได้รับการคัดเลือกจากเจ้านาย แต่เกิดขึ้นจากความสามารถของคนๆ นั้น ในการที่จะรู้จักและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว)

แนวคิดนี้น่าสนใจมากนะครับ โดยแทนที่จะมองว่า ภาวะผู้นำเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกหรือเป็นมาแต่กำเนิดเหมือนในอดีต สิ่งที่ค้นพบกลับทำให้เราคิดว่า จะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้น จะต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้จัก และเข้าใจในตนเองก่อน รวมทั้งเกิดขึ้นจากประสบการณ์ และเรื่องราวที่หล่อหลอมมาเป็นบุคคลคนนั้น เอาไว้สัปดาห์หน้าเรามาดูกันต่อนะครับว่า ถ้าท่านอยากจะพัฒนาตัวท่านเองให้เป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้ จะมีวิธีการหรือแนวทางอย่างไร