พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ "ความรู้"

“...ความรู้นั้นสำคัญยิ่งใหญ่ เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดความฉลาดสามารถ และความเจริญก้าวหน้า มนุษย์จึงใฝ่ศึกษากันอย่างไม่รู้จบสิ้น แต่เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว การเรียนความรู้ แม้มากมายเพียงใด บางทีก็ไม่ช่วยให้ฉลาดหรือเจริญได้เท่าไรนัก ถ้าหากเรียนไม่ถูกถ้วน ไม่รู้จริงแท้ การศึกษาหาความรู้จึงสำคัญตรงที่ว่า ต้องศึกษาเพื่อให้เกิด “ความฉลาดรู้” คือรู้แล้ว สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ โดยไม่เป็นพิษเป็นโทษ การศึกษาเพื่อความฉลาดรู้ มีข้อปฏิบัติที่น่าจะยึดถือเป็นหลักอย่างน้อยสองประการ ประการแรก เมื่อจะศึกษาสิ่งใดเรื่องใดให้รู้จริง ควรจะได้ศึกษาให้ตลอดครบถ้วนทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เรียนรู้แต่เพียงบางส่วนบางตอน หรือเพ่งเล็งเฉพาะแต่เพียงบางแง่บางมุม อีกประการหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติประกอบพร้อมกันไปด้วยเสมอคือต้องพิจารณาศึกษาเรื่องนั้นๆ ด้วยความคิดจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นปรกติ และเที่ยงตรง เป็นกลาง ไม่ยอมให้ความรู้เห็นและเข้าใจตามอำนาจความเหนี่ยวนำของอคติ ไม่ว่าจะเป็นอคติฝ่ายชอบหรือฝ่ายชัง มิฉะนั้นความรู้ที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นความรู้แท้ หากแต่เป็นความรู้ที่ถูกอำพรางไว้ หรือที่คลาดเคลื่อนวิปริตไปต่างๆ จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์จริงๆ โดยปราศจากโทษไม่ได้...”

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรโรฒ วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๔

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มองมุมใหม่ :คุณค่า ความเชื่อ และแรงจูงใจของผู้นำที่ดี

มองมุมใหม่ :คุณค่า ความเชื่อ และแรงจูงใจของผู้นำที่ดี

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ 20 มีนาคม พ.ศ. 2550

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ในสัปดาห์นี้ เราจะมาดูกันต่อนะครับว่า จะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้ จะต้องประกอบด้วยปัจจัยใดอีกบ้าง

ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้นำแบบ Authentic คือจะต้องประกอบด้วย ความมุ่งมั่นต่อความสำเร็จ รวมทั้งมีค่านิยม (Value) ความเชื่อ หรือทัศนคติที่ดีและเหมาะสมด้วย อย่างไรก็ดี ปัญหาสำคัญคือเรามักจะไม่ค่อยรับรู้ถึงค่านิยม ความเชื่อที่แท้จริงของตัวเราจนกระทั่งเกิดปัญหาหรือวิกฤติขึ้นครับ

ในขณะที่สถานการณ์ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี งานทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เราอาจจะเขียนพวกค่านิยมและความเชื่อที่เราคิดว่าเรามีอยู่ได้อย่างไม่ยากเย็น โดยค่านิยมและความเชื่อเหล่านั้นก็มักจะออกมาในรูปแบบที่ดี ตามที่เราต้องการ แต่เมื่อใดก็ตามที่อาชีพ หรือการงาน หรือฐานะ ของเราเริ่มมีปัญหา เมื่อนั้นแหละครับที่ค่านิยมและความเชื่อที่แท้จริงของเราจะปรากฏออกมา

ท่านผู้อ่านลองนึกสมมติภาพดูนะครับว่า ถ้าที่องค์กรของท่านจะต้องมีการลดพนักงานลง และชัดเจนแล้วว่า ในหน่วยงานที่ท่านอยู่จะต้องมีการลดจำนวนพนักงานลงจำนวนหนึ่ง ท่านจะทำอย่างไรครับ? สิ่งที่ท่านจะทำนั้นก็จะมาจากค่านิยมและความเชื่อของท่าน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่พอถึงช่วงวิกฤติแล้วค่านิยมและความเชื่อดังกล่าวจะปรากฏออกมา เช่น ท่านอาจจะหาทางเอาตัวรอดเพียงลำพัง หรือพยายามหาทางช่วยเหลือทั้งหน่วยงานให้อยู่รอด หรือทำใจและพยายามหางานใหม่?

ทีนี้ประเด็นสำคัญสำหรับผู้นำแบบ Authentic ก็คือท่านผู้อ่านควรจะต้องรู้จักค่านิยม และความเชื่อของตนเองที่แท้จริง และเมื่อเป็นผู้นำก็สามารถแปลงค่านิยมและความเชื่อนั้นให้ออกมาเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม และเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจน

ตัวอย่างที่เคยพบเช่นอาจารย์บางท่านจะมีค่านิยมหรือความเชื่อประจำตัวว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีด้วยบรรยากาศที่สนุกสนาน ดังนั้น อาจารย์ท่านดังกล่าวก็จะสอนหนังสือด้วยความสนุก เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกในการเรียนหนังสือ ดังนั้น จะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้ ก็ต้องรู้จักคุณค่าและความเชื่อที่แท้จริงของตัวเรา รวมทั้งประพฤติ ปฏิบัติให้สอดคล้องกับคุณค่าและความเชื่อดังกล่าวด้วยนะครับ

นอกจากเรื่องของความเชื่อและคุณค่าแล้ว เรื่องของแรงจูงใจก็สำคัญครับ คนที่จะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้ จะต้องมีแรงขับดันหรือแรงจูงใจที่สำคัญครับ และประเด็นที่สำคัญคือเราจะต้องเข้าใจให้ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนหรือจูงใจเราครับ ท่านผู้อ่านเคยลองถามตัวเองไหมครับว่าอะไรคือปัจจัยที่ขับเคลื่อน หรือผลักดันหรือจูงใจให้ท่านผู้อ่านทำในสิ่งที่ทำอยู่?

ผู้นำส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยยอมรับนะครับ แต่ถ้าถามกันจริงๆ ก็จะพบว่าผู้นำส่วนใหญ่ จะมีแรงขับดันหรือจูงใจอยู่แล้วทั้งสิ้นครับ ซึ่งก็หนีไม่พ้นแรงจูงใจภายนอกกับภายในครับ ถ้าเป็นแรงจูงใจภายนอก ก็หนีไม่พ้นพวกรายได้ ค่าตอบแทน เกียรติยศ ชื่อเสียง การยอมรับ จากภายนอก ในขณะเดียวกัน แรงจูงใจภายในก็เป็นพวก โอกาสในการพัฒนาและเติบโต การได้ช่วยเหลือผู้อื่นพัฒนา การได้ช่วยเหลือสังคม หรือแม้กระทั่งการสร้างความแตกต่างและประโยชน์ให้กับโลกใบนี้

ประเด็นสำคัญคือจะเป็นผู้นำที่ดีได้ จะต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผลักดันและจูงใจเรา พร้อมทั้งสร้างความสมดุลระหว่างแรงจูงใจภายนอกและภายในครับ เราอาจจะอยากจะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง หรือการยอมรับ แต่ก็ไม่ควรที่จะให้น้ำหนักกับแรงจูงใจภายนอกมากเกินไปนะครับ จะต้องหันมาสร้างความสมดุลกับแรงจูงใจภายในด้วย นั้นคือนอกจากจะได้ทรัพย์สิน ชื่อเสียง แล้ว อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เราทำงานหรือเป็นผู้นำ?

ใช่เป็นเพราะได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นและประเทศ หรือเป็นเพราะทำให้ตัวเราได้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งการทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด เป็นต้น สิ่งที่สำคัญ คือท่านผู้อ่านจะต้องรู้ในสิ่งที่จูงใจตัวท่าน และพยายามสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งจูงใจภายนอกกับภายในนะครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับ แนวคิดการพัฒนาผู้นำแบบ Authentic ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่าทุกอย่างจะต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเราเองก่อนทั้งสิ้นนะครับ ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม และค่าเชื่อที่มีอยู่ จนกระทั่งถึงแรงจูงใจที่ช่วยผลักดันให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เนื้อหาในสามสัปดาห์คงพอจะทำให้ท่านผู้อ่านได้ย้อนหันกลับมาดูตัวท่านเองบ้างนะครับ และที่สำคัญคือ อย่าลืมทำความเข้าใจและความรู้จักในตัวท่านเองก่อนนะครับ ก่อนที่จะไปเป็นผู้นำคนอื่นเขาได้

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.thคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่ดีต้องเริ่มจากการรู้จักตนเอง

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่ดีต้องเริ่มจากการรู้จักตนเอง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 13 มีนาคม พ.ศ. 2550

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษที่หายไปสัปดาห์หนึ่งนะครับ อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้เราก็กลับมาพบกันตามเดิม และเนื้อหาก็ยังต่อเนื่องจากสองสัปดาห์ที่แล้ว โดยเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้ในเรื่องของผู้นำที่ทั้งเก่งและดี โดยเฉพาะดีในแง่ที่ว่าเป็นผู้นำที่มีลักษณะเป็น Authentic นั้น คือมีความน่าเชื่อถือ มุ่งมั่น บริหารด้วยทั้งหัวใจและสมอง โดยประเด็นสำคัญคือจะพัฒนาผู้นำที่มีลักษณะ Authentic ขึ้นมาได้อย่างไร? บรรดาทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำก็ไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้ายที่จะบอกได้ว่า จะพัฒนาคนๆ หนึ่งให้เป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้อย่างไร?

ในวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีบทความหนึ่งชื่อ Discovering Your Authentic Leadership เขียนโดย Bill George อดีตซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องมือแพทย์กับพรรคพวก โดย ได้สำรวจบรรดาผู้นำ ที่เรียกว่าเป็น Authentic Leader เพื่อหาคำตอบว่า จะเป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้อย่างไร?

ประเด็นที่น่าสนใจที่ผมทิ้งท้ายไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วก็คือ คนจะเป็นผู้นำแบบ Authentic ได้นั้นจะต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจ และรู้จักตัวเองก่อนครับ และไม่ใช่เพียงแค่รู้จักตัวเองเพียงอย่างเดียว ยังจะต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาครับ ซึ่งในประเด็นนี้มีความน่าสนใจมากครับ เนื่องจากเคยได้ยินบางคนพูดเหมือนกันว่า จะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นต้องเข้าหลักสูตรเจ๋งๆ เรื่องภาวะผู้นำก่อน หรือต้องรอให้ได้เจ้านายดีๆ มาสอนงานก่อน ซึ่งถ้าคิดแบบนั้นก็แสดงว่าเรามัวแต่รอคนอื่นเขาป้อนให้นะครับ

ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้ค้นพบเกี่ยวกับผู้นำที่เป็น Authentic เนื่องจากคนเหล่านี้จะไม่หยุดที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญ คือคนที่จะรับผิดชอบต่อการพัฒนาความเป็นผู้นำของตัวเราก็คือตัวเราเองครับ เหมือนกับนักกีฬาหรือนักดนตรีที่เก่งๆ ครับ ที่จะต้องรู้จักพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไม่สามารถรอให้คนอื่นเขามัวมาป้อนความเป็นผู้นำให้ได้หรอกครับ

ที่น่าสนใจเช่นกันก็คือคนที่จะเป็น Authentic Leader ได้นั้น มักจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองเป็นสำคัญครับ เหตุการณ์ ประสบการณ์ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต จะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมค่านิยม ทัศนคติ และความคิดของบุคคลเหล่านั้น โดยบุคคลเหล่านั้นมักจะสามารถย้อนกลับไปถึงช่วงเวลา หรือเหตุการณ์ที่สำคัญในอดีต ที่มีส่วนหล่อหลอมต่อค่านิยม และทัศนคติของตนเอง

ท่านผู้อ่านลองย้อนกลับมาดูที่ตัวท่านเองบ้างก็ได้ครับ ความคิด ค่านิยม หรือทัศนคติของท่านในปัจจุบัน ได้เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ในประสบการณ์ หรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือไม่? ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่าน คงจะมีประสบการณ์เช่นนั้นมาบ้างนะครับ

จริงๆ เหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นผู้นำหรือตัวตนของเราในปัจจุบันนะครับ เพียงแต่เรารู้จักที่จะเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้นหรือไม่? ตอนที่นั่งเขียนบทความนี้ผมก็นึกถึงเรื่องของตัวเองเหมือนกันครับ ซึ่งก็นึกย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย และเป็นวันปิดเรียนภาคต้น จำได้ว่าในวันนั้นทุกคนฉลองการปิดเทอมด้วยการทำห้องเลอะเทอะไปหมด จนอาจารย์ประจำชั้น (ซึ่งเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษด้วย) เขียนอะไรซักอย่างบนกระดาน

ซึ่งผมเองจำข้อความทั้งหมดไม่ได้ แต่ที่จำได้จนวันนี้คือคำว่า Self-Discipline ซึ่งในช่วงนั้นก็ยังแปลไม่ออกครับ ต้องถามเพื่อนว่าแปลว่าอะไร (แปลว่าการมีวินัยในตนเอง) ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่า เพราะทำไม (อาจจะเป็นเพราะทำให้อาจารย์ผิดหวัง) แต่หลังจากนั้น ก็จะติดที่คำนี้มาตลอด จนกระทั่งนำมาสอนทั้งลูกและลูกศิษย์ในปัจจุบัน

การเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีตนั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ไม่ดีหรือเลวร้าย เราต้องอย่ามองด้วยใจที่รันทดหรือเป็นอคตินะครับ แต่ขอให้พยายามเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้น เพื่อนำมาหล่อหลอมเป็นค่านิยม หรือทัศนคติในการดำรงชีวิตของตนเอง และเผลอๆ อาจจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจหรือความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำขึ้นมาได้ครับ

คุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำแบบ Authentic (หรือในความเห็นผมของพวกเราทุกคนครับ) คือสิ่งที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Self-Awareness หรือการรู้จักตนเองนะครับ บอร์ดที่ปรึกษาของ Standford ถูกถามว่า อะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำที่จะต้องได้รับการพัฒนา ผลปรากฏว่าออกมาเป็นเสียงเดียวกันเลยครับ นั้นคือการรู้จักตนเอง

คนทำงานรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันต่างทำงานหนัก เพื่อมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ โดยเห็นแบบอย่างความสำเร็จมาจากผู้อื่น แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ก็มักจะรักษาความสำเร็จนั้นไว้ได้เพียงไม่นานครับ สาเหตุสำคัญก็คือคนเหล่านั้นไม่มีเวลาหันกลับมาดูและสำรวจตัวเองครับว่าจริงๆ แล้ว อะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการกันแน่

เราจะเห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคน ที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งความสำเร็จนั้นแล้วไปทำอย่างอื่นที่ตรงกันข้าม และสาเหตุหลักก็คือ "เพิ่งค้นพบตัวเอง" ดังนั้น ท่านผู้อ่านทุกท่านคงจะต้องเริ่มจากทำความรู้จักตนเองก่อนนะครับว่า อะไรคือสิ่งที่ตนเองต้องการกันแน่ และยิ่งรู้จักตนเองเร็วเท่าใด ก็ยิ่งดีเท่านั้นครับ และที่สำคัญ การที่รู้จักตนเองได้ดีนั้น ต้องกล้า และพร้อมที่จะยอมรับ โดยอาจจะศึกษาจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่ตนเองประสบมาในอดีต หรือการเปิดใจรับฟังความเห็นจากคนที่ใกล้ชิดและหวังดีกับเราจริงๆ จะเป็นผู้นำที่ทั้งดีและเก่งได้คงจะต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของท่านก่อนนะครับ ในสัปดาห์หน้าเรามาดูกันต่อนะครับว่า มีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่สำคัญ

รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่เก่งและดีมาจากไหน?

ผู้นำและภาวะผู้นำเป็นหัวข้อหนึ่งที่สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ได้นำมาสอนในวิชาต่างๆ อาทิ พฤติกรรมองค์การและการพัฒนาองค์การ และจริยธรรมของนักบริหาร ในปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับผู้นำได้มีการพัฒนาไปจากอดีตมากมาย รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ ก็เป็นนักวิชาการท่านหนึ่งที่ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาการบริหาร บทความมองมุมใหม่ที่อาจารย์พสุได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาการบริหาร สำหรับในระยะแรกของการทำ blog KM สำหรับความรู้ด้านการบริหารนี้ผมขอนำแนวคิดเรื่องผู้นำมาเสนอ สำหรับบุคลากรของคณะรัฐศาสตร์ฯ ได้อ่านเพิ่มพูนความรู้ ตลอดจนสามารถนำไปประกอบการสอนได้ครับ

มองมุมใหม่ : ผู้นำที่เก่งและดีมาจากไหน?

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้นำที่เก่งหาได้ไม่ยาก แต่คำถามคือต้องเก่งและดีด้วยครับ เราจะหาผู้นำแบบนั้นในปริมาณเยอะๆ ได้จากไหน? หรือจะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้อย่างไร? ผู้นำที่เก่งนั้นระบุไม่ยากนะครับ แต่ผู้นำที่ดีนั้นหมายถึงอะไรครับ? จะต้องเป็นผู้นำที่ปฏิบัติตามหลักธรรมหรือเปล่า? หรือผู้นำที่อยู่ในกรอบจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม?

ตรงนี้เป็นเรื่องที่กำหนดลำบากเหมือนกันนะครับ แต่ในหลักการทางด้านผู้นำของชาติตะวันตกแล้ว เขามักจะใช้คำว่า Authentic เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้นำที่ดีครับ นั่นคือไม่ใช่แค่เป็นคนที่ดีอย่างเดียว แต่ต้องเป็นที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ จากผู้ใต้บังคับบัญชา และสังคมรอบข้างด้วย


ท่านผู้อ่านไม่ต้องมองอื่นไกลครับ ลองสังเกตในบ้านเราดูก็ได้ว่า เริ่มมีกระแสที่จะไม่ไว้วางใจผู้บริหารระดับสูงกันมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งในอดีตการไม่ไว้วางใจผู้นำนั้น เป็นสิ่งที่เกือบจะเรียกว่า เป็นไปไม่ได้ เคยอ่านหนังสือเจอว่าในยุคหนึ่งเรามีผู้นำประเทศ ที่ยึดหลัก "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย" ซึ่งประชาชนก็ให้ความเชื่อถือและไว้วางใจ โดยปฏิบัติตามนโยบายต่างๆ ที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการใส่หมวก เลิกกินหมาก หรือรัฐนิยม
แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับประเทศ หรือผู้นำองค์กรต่างๆ ก็มักจะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนหรือผู้ใต้บังคับบัญชากันเท่าใด มิฉะนั้น หน่วยงานหรือองค์กรที่ทำหน้าที่ในด้านการตรวจสอบ คงจะไม่ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหมือนในปัจจุบัน

ดูเหมือนว่า ความท้าทายของผู้นำยุคใหม่ จะไม่ใช่เพียงเรื่องของการเป็นผู้นำที่เก่งเพียงอย่างเดียวแล้วนะครับ แต่ผู้นำจะต้องเป็นผู้นำที่เป็นที่น่าเชื่อถือ และไว้วางใจของบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย สังคมเราต้องการผู้นำที่มีลักษณะดังกล่าวมากขึ้น นั่นคือ ทั้งเก่งและน่าเชื่อถือ คำถามสำคัญคือจะไปหามาจากไหน? หรือจะพัฒนาให้มีผู้นำในลักษณะดังกล่าวได้อย่างไร?

เมื่อหันกลับมาดูบรรดางานวิชาการด้านภาวะผู้นำ พวกนักคิดต่างๆ ก็ได้พยายามหาสูตรสำเร็จของภาวะผู้นำออกมา มีทฤษฎีหรือแนวคิดต่างๆ ทางด้านผู้นำออกมาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ก็เพื่อตอบคำถามว่า ผู้นำที่ดีและเก่งควรจะมีคุณลักษณะอย่างไร รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรในการพัฒนาให้คนๆ หนึ่ง กลายมาเป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ดี สิ่งที่พบก็คือ เราคงไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบหรือถ่ายทอดภาวะของผู้นำจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ ถ้าใครก็ตามที่พยายามที่จะลอกเลียนแบบคุณลักษณะหรือสไตล์ของผู้นำที่ทั้งเก่งและดี ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่คิดไว้

ผมเชื่อว่า เราสามารถเรียนรู้จากผู้อื่นได้ครับ แต่ไม่สามารถลอกเลียนจากเขาได้ มีอดีตผู้บริหารของ GE หลายท่านเคยกล่าวไว้เหมือนกันครับว่า ใน GE นั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้บริหารทุกคนอยากจะเป็นเหมือนอย่าง Jack Welch โดยพยายามลอกเลียนสไตล์ คุณลักษณะ และวิธีการในการบริหาร ซึ่งสุดท้ายคนที่มาเป็น CEO แทน Jack Welch อย่าง Jeff Immelt ก็ไม่ได้มีส่วนเหมือนกับ Jack Welch เสียเท่าใด

สรุปก็คือ จะเป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดี คงยากที่จะลอกเลียนจากผู้นำอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ เราสามารถเรียนรู้การเป็นผู้นำของคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถลอกเลียนแบบภาวะผู้นำของผู้อื่นได้ครับ

จริงๆ แล้ว มีหนังสือขายดีเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้วอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ Authentic Leadership ซึ่งเขียนโดย Bill George ซึ่งเคยเป็น CEO ของบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ชื่อ Medtronic และปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่ Harvard Business School โดยในหนังสือเล่มดังกล่าวเขาได้นิยาม Authentic Leadership ไว้กว้างกว่าผู้นำที่น่าเชื่อถือ ที่ผมได้นำเสนอไว้ในเบื้องต้นอีกนะครับ

โดยผู้นำที่เป็น Authentic Leader นั้น จะต้องมีความมุ่งมั่นต่อการบรรลุเป้าหมาย ปฏิบัติตามค่านิยมที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ (หรือพูดเป็นไทยง่ายๆ คือ ทำตามที่คิดและพูด ไม่ใช่เหมือนผู้นำบางท่านที่พูดอย่าง ทำอย่าง) และนำด้วยทั้งหัวใจและหัวสมอง ผู้นำเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกภาคส่วน และในขณะเดียวกัน ก็มีวินัยในตนเองเพียงพอที่จะทำงานให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ทีนี้ก็มาถึงคำถามสำคัญครับ คือ ทำอย่างไรถึงจะพัฒนาตนเองหรือพัฒนาผู้อื่นให้เป็น Authentic Leader หรือเอาแค่ง่ายๆ ก่อน คือให้เป็นผู้นำที่มีความน่าเชื่อถือก่อนก็ได้ครับ?

ทางผู้เขียนหนังสือเรื่อง Authentic Leadership ก็ได้ร่วมกับพรรคพวก ทำการวิจัยเพื่อตอบคำถามนี้ครับ โดยผลจากการสอบถามผู้นำ ที่เป็นลักษณะ Authentic กว่าพันรายพบว่า การจะเป็นผู้นำที่มีลักษณะ Authentic นั้น ไม่ได้เกิดจากการมีคุณลักษณะ หรือบุคลิกภาพ หรืออะไรร่วมกันเลยครับ เราไม่สามารถหาปัจจัยร่วมของผู้นำ ที่มีลักษณะ Authentic แต่สิ่งที่พบจากงานวิจัยในครั้งนี้ ก็คือ
ความเป็นผู้นำของแต่ละคน เกิดหรือได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากตัวตนแต่ละคนทั้งสิ้น นั่นคือทุกคนจะมีภาวะผู้นำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะรู้จักที่จะเรียนรู้ เข้าใจ และสามารถพัฒนาความเป็นผู้นำในตัวเราให้ออกมา และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือไม่? ผู้นำที่ดีไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นเพราะได้รับการคัดเลือกจากเจ้านาย แต่เกิดขึ้นจากความสามารถของคนๆ นั้น ในการที่จะรู้จักและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว)

แนวคิดนี้น่าสนใจมากนะครับ โดยแทนที่จะมองว่า ภาวะผู้นำเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกหรือเป็นมาแต่กำเนิดเหมือนในอดีต สิ่งที่ค้นพบกลับทำให้เราคิดว่า จะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้น จะต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้จัก และเข้าใจในตนเองก่อน รวมทั้งเกิดขึ้นจากประสบการณ์ และเรื่องราวที่หล่อหลอมมาเป็นบุคคลคนนั้น เอาไว้สัปดาห์หน้าเรามาดูกันต่อนะครับว่า ถ้าท่านอยากจะพัฒนาตัวท่านเองให้เป็นผู้นำที่ทั้งเก่งและดีได้ จะมีวิธีการหรือแนวทางอย่างไร